งานหนักของแม่ทัพใหม่แห่งลีเวอร์ฯ เดินหน้าพบลูกค้าด้วยตัวเอง


นิตยสารผู้จัดการ( มีนาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ลีเบอร์บราเธอร์ (ประเทศไทย) เจ้าตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคหลายยี่ห้อในเมืองไทยและทั่วโลก เปิดศักราชใหม่กับการปรับปรุงผลิตภัณพ์เก่าให้ดูดีขึ้น เริ่มจากบรีสอัลตรา และตามมาด้วยลักส์ สบู่ก้อนที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงสุดในเมืองไทย เนื่องจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น สำหรับแบรนด์ติดตลาดก็ยังมิอาจขยายยอดขายได้รวดเร็วทันใจ ซ้ำร้ายยังอาจสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับสินค้าใหม่ ๆ ที่มีสิ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่าการปรับผลิตภัณฑ์หรือ RELAUNCH สินค้าจึงเป็นกลยุทธ์ที่สินค้าแบรนด์ติดตลาดต้องนำมาใช้ เพื่อเรียกส่วนแบ่งการตลาดให้มากกว่าเดิม

ไม่เพียงการปรับบุคลิกสินค้าใหม่ในค่ายลีเวอร์ฯ ก่อนหน้านั้นลีเวอร์ฯ ก็มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ของฝ่ายบริหาร โดยได้ เอแดน ลิสเซอร์ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ชำระล้างคนใหม่ แทนที่ สตีฟ โกลสบี้ ซึ่งครบวาระการบริหารงานในไทย เมื่อราวต้นพฤศจิกายนปีที่แล้ว และได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งประธานของบริษัท ยูนิลีเวอร์ ประจำประเทศกรีซ

"นี่เป็นงานแรกที่ผมทำ" ลิสเซอร์ ประกาศถึงการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ชำระล้างของค่ายลีเวอร์ฯ ไทยหลังจากที่เขาเข้ามาดูแลได้เพียง 2 เดือน โดยสินค้าหลัก ๆ ในส่วนงานรับผิดชอบของเขา ก็คือ สบู่ และผงซักฟอก

ดูเหมือนงานที่เขาเข้ามารับผิดชอบในครั้งนี้หนักหนาอยู่ไม่น้อย เพราะภาวะตลาดสินค้าชำระล้างในเมืองไทยแข่งขันกันอย่างดุเดือดในปัจจุบัน โดยมีอัตราการเติบโตไม่มากกว่า 10% เรื่องที่แข่งกันมากที่สุดก็คือ ราคา ค่ายไหนสินค้าคุณภาพใกล้เคียงกันมีราคาสูงกว่าค่ายอื่น ก็เตรียมตัวสูญเสียลูกค้าได้เลย ดังนั้น แม้จะต้องลงทุนปรับปรุงสินค้าเก่าให้มีคุณสมบัติดีขึ้น แต่จะไปเพิ่มราคาก็ไม่ได้

ส่วนศักยภาพของค่ายลีเวอร์ฯ เอง แม้จะครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าเหล่านี้ในอันดับต้น ๆ แต่ก็ไม่น่าสบายใจนัก เพราะยังมีคู่แข่งไล่กวดตามมาติด ๆ ดังเช่น ตลาดสบู่ ทั้งสบู่ก้อน สบู่เหลว และผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ค่ายลีเวอร์ฯ มีส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งประมาณ 33% ทิ้งคู่แข่งขันอันดับที่สองอย่างค่ายคอลเกต ปาล์มโอลีฟ 8% โดยฝ่ายหลังมีส่วนแบ่งตลาด 25% แต่ถ้าเป็นแค่สบู่ก้อน ค่ายลีเวอร์ฯ มีส่วนแบ่งตลาด 28.4% ขณะที่ค่ายคอลเกต ปาล์มโอลีฟ มีส่วนแบ่งตลาด 27.8% เรียกว่าห่างกันแค่หายใจรดต้นคอเท่านั้น

งานของลิสเซอร์ก็คือ การเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ให้ลีเวอร์ฯ หนีคู่แข่งอื่น ๆ ให้ได้ อันนับเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับเขา

"ความท้าทายของผมก็คือ ต้องทำให้ลีเวอร์บาร์เธอร์ฯ เข้มแข็งมากขึ้นกว่าเดิม วิธีการก็คือ ต้องทำความเข้าใจกับความต้องการของคนในเมืองไทย และหาทางตอบสนองความต้องการนั้นให้ดียิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ผู้บริโภคต้องการ เช่น การออกลักส์ชนิดใหม่และการ RELAUNCH ลักส์ในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในนวัตกรรมใหม่" ลิสเซอร์กล่าวในคราวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ลักส์ใหม่เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา

หัวใจของการแข่งขันในผลิตภัณฑ์ชำระล้างนั้น ลิสเซอร์ มองว่า แตกต่างกันตามชนิดผลิตภัณฑ์ "ประเด็นการแข่งขันของสบู่กับผงซักฟอกต่างกัน สบู่ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งสำหรับผงซักฟอก ประเด็นการแข่งขันจะอยู่ที่โปรดักส์ฟอร์ม คือ รูปลักษณะว่า จะเป็นผงคอนเซนเทรด หรือธรรมดา หรือว่าจะเป็นน้ำ ในขณะที่เซ็กเมนต์ของผลิตภัณฑ์ชำระล้างส่วนตัวจะไม่ใช่ ดูที่คำว่า "ส่วนตัว" ประเด็นการแข่งขันก็จะอยู่ที่ความรู้สึกของผู้ใช้มากกว่าว่า มีความแตกต่างกันอย่างไร"

การที่เขามองตลาดทั้งสองแบบได้ทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ เป็นเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาคลุกคลีอยู่กับผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมาร่วม 10 ปี เริ่มแรกลิสเซอร์เข้าร่วมงานกับค่ายลีเวอร์บราเธอร์ในปี 2525 ในตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัดของบริษัทยูนิลีเวอร์ หลังจากนั้นเพียง 4 ปี เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ชำระล้างผ้า และในปี 2533 เขาก็ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายนวัตกรรมการซักรีดของบริษัทลีเวอร์ฯ ในยุโรป

ปี 2534 ลิสเซอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยพิเศษฝ่ายประสานงานผลิตภัณฑ์ชำระล้างทั่วโลกของยูนิลีเวอร์ และในปีเดียวกันก็ก้าวเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดของบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศจีน อันเป็นที่ทำงานแห่งสุดท้ายก่อนที่เบนเข็มมาเมืองไทย โดยรับผิดชอบการวางกลยุทธ์การตลาดสินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน ผลิตภัณพ์ของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ซักรีด

นี่เองจึงทำให้ลิสเซอร์มีโอกาสลับเขี้ยวเล็บทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่

ลิสเซอร์ กล่าวถึงประสบการณ์จากจีน ซึ่งเป็นถิ่นที่เขาอยู่มานานปีจนสามารถพูดภาษาจีนได้ว่า "ลีเวอร์จีน เริ่มต้นในประเทศจีนได้ไม่นาน แต่สินค้าของลีเวอร์ฯ ดังเช่น ลักส์ ก็เป็นชื่อยี่ห้อที่ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคจีนอย่างดี ความแตกต่างที่สำคัญของตลาดไทยและตลาดจีนก็คือ จีนเป็นตลาดที่ใหญ่แต่ยังไม่พัฒนา แต่ตลาดไทยแม้จะมีขนาดเล็กกว่า แต่เป็นตลาดที่ผู้บริโภคมีการพัฒนามาก"

ดังนั้น กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ในจีนกับไทยจึงต้องแตกต่างกันบ้าง แต่ก็มีวิธีการบางอย่างที่สามารถปรับใช้กันได้ นั่นก็คือ การวิจัยตลาดแบบถึงเนื้อถึงตัวผู้บริโภค

"ตอนอยู่เมืองจีน ผมต้องเดินทางมากมายเพื่อที่จะลงลึกในพื้นที่ทำความรู้จักกับผู้บริโภคและร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งทำให้ผมได้รับทราบความต้องการของผู้บริโภคจริง ๆ และผมคิดว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผมต้องทำในเมืองไทย นั่นคือ ลงไปสัมผัสกับลูกค้าด้วยตัวเอง ผมจะไม่ฟังแค่งานวิจัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องลงพื้นที่ด้วย เพื่อทำความรู้จักกับร้านค้าและผู้บริโภคในเมืองไทยอย่างแท้จริง" อดีตมหาบัณฑิตทางประวัติศาสตร์ยุคใหม่และประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์ระบุ

"ผมต้องการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้อย่างรวดเร็ว จากประวัติของลีเวอร์ฯ ไทยที่ผ่านมากว่า 60 ปี ก็มีการเติบโตที่ดี เนื่องจากการตอบนองความต้องการของผู้บริโภคได้รวดเร็ว ผมก็ต้องดำเนินการให้รวดเร็วปานกัน เพื่อไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกัน"

พันธะสัญญาของลิสเซอร์จะเป็นจริงแค่ไหน เวลาจะช่วยพิสูจน์



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.