|
อีซี่บายลดแรงกดดันปรับดอกเบี้ยเหลือ28%
ผู้จัดการรายวัน(30 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
ธปท. เผยเกณฑ์คุมสินเชื่อส่วนบุคคล ทำตามกรอบอำนาจที่มีอยู่และยึดหลักตามประกาศกระทรวงการคลัง ย้ำแบงก์ชาติไม่สามารถช่วยเหลือได้ กรณีลูกค้า "อีซี่ บาย" ที่ทำสัญญากู้ก่อน ประกาศใช้หลักเกณฑ์ ด้านผู้บริหารอีซี่ บาย ปรับลด ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมให้กับลูกค้าชั้นดีตามสัญญาเดิมก่อน 1 ก.ค. เหลือ 28% โดยอัตโนมัติตั้งแต่งวดเดือน ธ.ค. เป็นต้นไป หวังลดแรงกดดันทางสังคม พร้อมเตือนลูกค้าจะโดนแบล็กลิสต์ในเครดิตบูโร หากไม่ยอมเปลี่ยนสัญญา
นายสามารถ บูรณวัฒนาโชค ผู้ช่วยผู้ว่าการสาย กำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาระการจ่ายดอกเบี้ยที่สูงกว่า 28% ซึ่งเป็นอัตราที่ผู้ประกอบการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เรียกเก็บก่อนที่ ธปท. จะเข้ามาควบคุมเพดานดอกเบี้ย ว่า ก่อนการประกาศใช้มาตการดังกล่าว ธปท.ได้เรียกสถาบันการ เงินมาหารือเพื่อสำรวจความเห็นถึงอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมแล้ว โดย ธปท. ต้องการให้สถาบันการเงินเรียกเก็บเฉลี่ยอยู่ที่ 24% แต่สถาบันการเงินที่ทำธุรกิจส่วนใหญ่ระบุว่าไม่สามารถรับภาระได้เนื่องจากมีต้นทุนที่สูง
ดังนั้น ธปท.จึงกำหนดเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 28% ซึ่งเป็นการประกาศตามประกาศของกระทรวงการคลังที่ให้เรียกเก็บดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% ตามที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดและให้คิดค่าธรรมเนียมไม่เกินตาม ที่ ธปท.กำหนด ซึ่งธปท.มีการประกาศว่าเมื่อรวมดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมแล้วต้องไม่เกิน 28%
สำหรับกรณีของการควบคุมเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่กำหนดไว้ไม่เกิน 18% นั้น เนื่องจากสถาบันการเงินผู้ออกบัตรได้รับค่าธรรมเนียมจากร้านค้าเฉลี่ย 2-3% รวมทั้งมีการกำหนดรายได้ของผู้ถือบัตรต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ขณะที่การปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลไม่ได้รับค่าธรรมเนียมจากร้านค้าและไม่มีการกำหนดรายได้ของ ผู้ถือบัตรก็ต้องยอมรับว่าตรงจุดนี้สถาบันการเงินผู้ประกอบการย่อมมีความเสี่ยงมากกว่าลูกค้าบัตรเครดิต
"ก่อนที่จะออกเกณฑ์ ธปท. ได้เรียกสถาบันการเงินมาทำประชาพิจารณ์เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียม เพื่อความเป็นธรรมต่อทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้กู้ โดยให้เรียกเก็บดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 15% และเมื่อรวมค่าธรรมเนียมแล้วไม่เกิน 28% ตามหลักของผู้ออกกฎยืนยันว่า ธปท.ทำถูกต้องตามกรอบอำนาจที่มีอยู่"นายสามารถกล่าว
ส่วนกรณีของบริษัท อีซี่บาย จำกัด (มหาชน) นั้น ธปท. ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายว่าสัญญาการกู้เงินเป็นสัญญาเก่าก่อนที่ธปท.จะออกประกาศควบคุมหรือว่าเกิดขึ้นหลังจากที่ธปท.ออกกฎหมายควบคุมแล้ว หากสัญญากู้เงินเกิดก่อนที่ ธปท.จะออกประกาศควบคุมคงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้
ด้านผู้เสียหายได้เรียกร้องให้ ธปท.ตีความการคิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 28% ให้ชัดเจน เพราะหากไม่มีความชัดเจนอาจส่งผลกระทบต่อสินเชื่อบุคคลทั้งระบบนั้น นายสามารถ กล่าวว่า ยังไม่มีความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ในขณะนี้
ทั้งนี้ ตามเกณฑ์การกำกับสินเชื่อส่วนบุคคลธปท.กำหนดให้ผู้ประกอบการคิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมได้ไม่เกิน 28% ต่อปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ก.ค. 48 เป็นต้นไปนอกจากนี้ยังมีผลบังคับใช้ย้อน หลังไปยังลูกหนี้รายเก่าโดยให้เวลาผู้ประกอบการปรับให้ลูกหนี้กลับเข้ามาใช้เกณฑ์ใหม่ภายในวันที่ 1 ก.ค.ปี 49 ซึ่งก่อนหน้าที่ ธปท.จะออกเกณฑ์ควบคุม ก็มีสถาบันการเงินบางแห่งที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูงมากกว่า 50%
นายพีระพงศ์ กี้ประสพสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อเงินสด บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมให้กับลูกค้าที่ถูกคิดดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมเกิน 28% ตามสัญญาเดิมก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 โดยจะเริ่มดำเนินการปรับลดอัตโนมัติตั้งแต่งวดเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป แต่จะปรับให้เฉพาะลูกค้าที่ไม่มีการค้างค่างวดชำระ ขณะที่ลูกค้าที่ค้างค่างวดยินยอมชำระคืนครบถ้วนจะดำเนินการปรับอัตโนมัติให้ในงวดของเดือนต่อไป โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ของแต่ละเดือน
ทั้งนี้ บริษัทจะดำเนินการจนกระทั่งถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2549 แม้แต่กลุ่มลูกค้าที่ไปร้องเรียนกับกองปราบปรามจำนวน 18 ราย ถ้าหากเข้ามาเจรจากับบริษัทเพื่อหาทางออกและเข้าสู่เงื่อนไข ก็จะได้สิทธิดังกล่าวเช่นกัน
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมบริษัทไม่ดำเนินการด้วยวิธีอัตโนมัติตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกประกาศนั้น นายพีระพงศ์ กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบเทคโนโลยี ที่จะให้สามารถดำเนินการได้อัตโนมัติ เนื่องจากมีลูกค้าจำนวนกว่า 1 ล้านคน จึงใช้วิธีแก้ไขสัญญาโดย ใช้พนักงานดำเนินการ ซึ่งมีการปรับปรุงมาได้ถึง 500,000 ราย ยังเหลือกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในข่ายต้องปรับสัญญาอัตโนมัติจำนวน 300,000 ราย ซึ่งถ้าไม่มีรายใดค้างค่างวดก็จะได้ปรับอัตโนมัติทันทีตั้งแต่งวดเดือนธันวาคมนี้
สำหรับกรณีที่สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคออกมาเรียกร้องให้ลูกค้าบริษัทอย่าเปลี่ยนแปลงสัญญากับทางบริษัทนั้น ยืนยันว่าตัวลูกค้าถ้าจะรับฟังความเห็น ทางกฎหมายควรจะคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ที่อาจจะเสียไป โดยที่ไม่มีใครช่วยรับผิดชอบ เพราะนอกจาก จะเป็นคดีความยังจะถูกขึ้นบัญชีดำในเครดิตบูโร ซึ่งจะทำให้ลูกค้าเสียโอกาสที่จะใช้บริการทางการเงิน เพราะในอนาคตบริษัทพยายามที่จะหาวิธีดำเนินธุรกิจ ให้อัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำกว่า 28% ตามประกาศของ ธปท.อยู่แล้ว
ส่วนการที่จะให้สำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบความผิดนั้น ตามกฎหมายจะต้องเข้าข่ายความผิดตามมูลฐาน ส่วนการที่จะให้กรมสรรพากรตรวจสอบภาษี ย้อนหลังคงไม่น่ามีปัญหา เพราะปกติบริษัททำธุรกิจ เปิดเผยอยู่แล้ว และมีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|