เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ บริษัท ลาร์เซ่นส์ อินทีเรียส์ จำกัด
ผู้ผลิต และจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งภายใน ภายใต้ชื่อ ลาร์เซ่นส์ (LARSEN'S)
รวมทั้งนำเข้าผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ยี่ห้อ LIGNEROSET จากฝรั่งเศส
แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวแต่ชื่อ ลาร์เซ่นส์ ก็ได้ยินมานานแล้วหลังจาก อาทิตย์
ศิริสันต์ ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท จบการศึกษาด้านออกแบบตกแต่งภายในมาจาก
PARSONS SCHOOL OF DESIGN ก็ได้เข้ามาทำงานกับ ม.ล.ภาวินี สันติศิริ จากนั้นจึงได้ออกมาเปิดบริษัทออกแบบตกแต่งภายในเป็นของตัวเอง
เปิดตัวเองขึ้นเมื่อปี 2533 รับออกแบบงานประเภทสำนักงาน ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาของบริษัท
ได้แก่ ออกแบบสำนักงานของ บงล.วอลล์สตรีท, สำนักงานขายบริษัท โนเบิล โฮลดิ้ง
จำกัด รวมทั้งยังรับออกแบบบ้าน คอนโดมิเนียมต่าง ๆ
จากนั้น อาทิตย์เริ่มขายธุรกิจในรูปแบบเฟอร์นิเจอร์ เพราะได้เล็งเห็นว่าตลาดนี้ในประเทศไทยยังมีความต้องการสูง
จึงได้เปิด SHOWROOM ที่สุขุมวิท 39 นอกจากนี้ ยังได้ทำธุรกิจรับเหมาภายใน
ดังนั้น นับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ธุรกิจลาร์เซ่นส์จึงเป็นธุรกิจครบวงจร
คือ มีทั้งงานออกแบบ รับเหมา และเฟอร์นิเจอร์ และในปี 2539 ได้ย้าย SHOWROOM
มาอยู่ที่สุขุมวิท 13
"ในช่วงนั้น เราทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ก็ประสบความสำเร็จพอสมควร เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตในประเทศยังไม่ค่อยมีมาตรฐานเท่าไหร่
และสินค้าจากต่างประเทศก็ยังไม่แพร่หลาย เราจึงถือโอกาสอันดีนี้ผลิตสินค้าเราออกขาย"
อาทิตย์ เล่า
ปัจจุบัน ลาร์เซ่นส์มีโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์อยู่ 2 แห่ง ที่บริเวณ ถ.สุทธิสาร
เป็นโรงงานผลิตโซฟา และที่บางปูเป็นโรงงานไม้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ชนิดติดตาย
(BUILT-IN)
และเพื่อรองรับกับการบริการต่อลูกค้าให้รวดเร็วมากขึ้น ล่าสุด ลาร์เซ่นส์จะทำการย้ายโรงงานจากบางปูมาอยู่บน
ถ.สุขุมวิท โดยโรงงานแห่งใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคมนี้ ใช้เงินลงทุนประมาณ
4 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานใหม่หมดด้วยการหันมาผลิตโซฟารุ่นประหยัดโดยจะผลิตทั้ง
2 โรงงาน คาดว่าจะสามารถนำออกจำหน่ายได้ในช่วงเดือนมีนาคมเช่นเดียวกัน
"โซฟาชนิดใหม่ของเราจะมีราคาถูกกว่าสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศอยู่ประมาณ
40-50%" อาทิตย์ กล่าว
เหตุผลที่อาทิตย์ปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานในครั้งนี้ เนื่องจากว่าเขาต้องการขยายตลาดและกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากขึ้น
พร้อมกับเพื่อรองรับการแข่งขันในอนาคตที่จะมีความรุนแรงมากขึ้น ผลสืบเนื่องจากการปรับลดภาษีนำเข้าเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปจาก
60% เหลือ 40% เมื่อปี 2538 และจาก 40% เหลือ 20% เมื่อต้นปี 2540 และจะเหลือ
0% ในปี 2542
นอกจากจะผลิตจำหน่ายเองแล้ว ยังมีแผนจะนำเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายโดยจะนำเข้ามาจาก
บริษัท LIGEN ROSET จำกัด ภายใต้ชื่อ LIGNEROSET
"คาดว่ากลางปีนี้จะสามารถนำเข้ามาขายได้ โดยสินค้าที่นำเข้ามาจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์คอนเทมโพรารี่
และสไตล์โมเดิร์น ซึ่งมีงบประมาณในการนำเข้าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท และคิดว่าสินค้าน่าจะเหมาะสำหรับลูกค้าคนไทย
เมื่อนำเข้ามาแล้วจะเปิด SHOWROOM ขึ้นอีกแห่งที่ สุขุมวิท 24" อาทิตย์
กล่าว
เนื่องจากในปัจจุบันเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้จะมีอัตราการเติบโตช้าลง
รวมทั้งวัตถุดิบที่นำมาผลิตมีไม่สม่ำเสมอและหายากขึ้น ซึ่งจะเสียเปรียบต่อการแข่งขันด้านราคา
ดังนั้น อาทิตย์จึงอาศัยช่องว่างนี้นำผลิตภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ที่มีลักษณะฉีกแนวออกไปจากที่มีจำหน่ายในปัจจุบัน
โดยเฉพาะต่างจากเฟอร์นิเจอร์ที่เข้ามาจากอเมริกา ซึ่งสินค้าที่อาทิตย์นำเข้ามาจะเป็นลักษณะทำจากไม้ที่เรียกว่าไม้
BEECH และทำจากเหล็กหรืออลูมิเนียม
"สินค้าที่มาจากอเมริกาจะเป็นงานแบบ TRADITIONAL ส่วนทางยุโรปจะเป็นแนวโมเดิร์น"
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้ามาจำหน่ายจากอเมริกาสามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้มากกว่าเฟอร์นิเจอร์จากแถบยุโรป
แต่อาทิตย์มองว่า ตลาดยังเป็นคนละตลาดกันอยู่และงานเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นแนวต่างกัน
"จริง ๆ แล้ว ตลาดจะแยกออกจากกัน คือ ลูกค้าของสินค้าจากอเมริกาจะเป็นแนว
CLASSIC แต่ลูกค้าของสินค้าจากยุโรปจะเป็นกลุ่มคนที่ทันสมัยและขณะนี้มีอยู่จำนวนมาก"
ดังนั้น ลูกค้าของลาร์เซ่นส์ จึงเป็นลูกค้าคอนโดมิเนียม 60-70% ที่เหลือจะเป็นลูกค้าบ้านหรือทาวน์เฮ้าส์รวมทั้งลูกค้าต่างจังหวัด
โดยจะเจาะไปที่บ้านตากอากาศ แต่ขณะนี้ยังมีจำนวนที่น้อยมาก ส่วนด้านลูกค้าประเภทสำนักงานไม่ใช่เป้าหมายของลาร์เซ่นส์
เนื่องจากติดขัดด้านราคาสูง
เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าราคาผลิตภัณฑ์ของลาร์เซ่นส์จะอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร
ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นลูกค้าระดับบน ดังนั้น การแข่งขันนับว่ามีสูงพอสมควร
กิจกรรมด้านการตลาดจึงเข้มข้นมากกว่าลูกค้าที่อยู่ระดับล่าง อีกทั้ง มูลค่าตลาดเฟอร์นิเจอร์ระดับบนในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับที่ต่ำ
คือ ประมาณ 100 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทที่นำเฟอร์นิเจอร์เข้ามาจำหน่ายมีหลายค่ายมาก
แต่อาทิตย์ยังมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของตัวเองว่าจะสามารถแย่งตลาดมาได้พอสมควร
"เราจะได้เปรียบคู่แข่งตรงที่เราเป็น EXCLUSIVE DISTRIBUTOR ในขณะที่คู่แข่งจะนำสินค้าเข้ามาหลาย
ๆ ยี่ห้อ เข้ามาขายในบริษัทเดียว ดังนั้น เมื่อลูกค้าซื้อไปแล้ว การบริการหลังการขายจึงไม่เต็มที่เท่าเรา"
กลยุทธ์ด้านการตลาดที่อาทิตย์ได้ทำมาตลอดเวลา คือ สามารถเป็นเจ้าของเฟอร์นิเจอร์ได้
โดยแบ่งชำระเป็นรายเดือนกับบริการที่เรียกว่า FIRST CHOICE ซึ่งบริการนี้ดูเหมือนว่าจะเหมาะสำหรับลูกค้าระดับล่างหรือมีรายได้น้อย
แต่อาทิตย์ก็ยังนำมาใช้ ผลปรากฏว่า ลูกค้าซื้อผ่อนมีแค่ 5% เพราะส่วนใหญ่จะซื้อสดมากกว่า
อย่างไรก็ตาม เขายังย้ำว่าแม้ลูกค้าจะน้อยแต่ยังทำต่อไป นอกจากนี้ บางเดือนที่เป็น
LOW SEASON ยังมีแคมเปญต่าง เช่น ลดราคา
สำหรับส่วนแบ่งการตลาดที่อาทิตย์ตั้งเป้าไว้ในปีนี้ คาดว่า เฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้ามาจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ
15% ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตเองจะมีส่วนแบ่งประมาณ 10% โดยมียอดขายรวมทั้งสิ้นประมาณ
60 ล้านบาท
"คาดว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ดูจากในขณะนี้แค่เดือนเดียวมียอดสั่งจองเข้ามาแล้ว
15 ล้านบาท ซึ่งในปีที่แล้ว เรายังทำได้ตามเป้าที่ตั้งไว้คือ 22 ล้านบาท"
อาทิตย์ เล่า
แต่ในปีนี้ อาจจะไม่เหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมกำลังตกสะเก็ด
ยอดขายที่ตั้งไว้สูงกว่าปีที่แล้วถึง 38 ล้านบาท คาดว่าอาทิตย์จะต้องเหนื่อยมากขึ้นเป็นหลายเท่าตัวแน่
อีกทั้งธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะอิงกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ว่า
ขณะนี้ภาวะ อสังหาฯ อยู่ในช่วงซบเซา ดังนั้น ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะต้องได้รับผลกระทบกระเทือนไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ยอมรับว่าที่ผ่านมาอะไร ๆ มันไม่ดีไปหมด แต่เราเชื่อว่า ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปทุกสิ่งทุกอย่างจะดีขึ้นตามลำดับ
รวมทั้ง ตลาดเฟอร์นิเจอร์ด้วย ซึ่งปีนี้จะเติบโตประมาณ 15% ตัวที่มากระตุ้น
คือ คอนโดฯ ต่าง ๆ จะเสร็จมากขึ้นในปีนี้และปีหน้า และค่อนข้างมั่นใจว่า
ใน 4-5 ปีนี้ ธุรกิจตกแต่งภายในจะยังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน มีให้เห็นกันอยู่ตอลดเวลา ซึ่งคงจะต้องดูกันนาน
ๆ สำหรับธุรกิจของอาทิตย์กับการแจ้งเกิดในยามสภาวะเศรษฐกิจเอนไปเอนมาว่าจะออกหัวหรือออกก้อย