ตลาดหลักทรัพย์ของไทย หากปราศจากซึ่งข่าวลือแล้วนักลงทุนไทย ๆ คงหายกันไปอีกเยอะ
ด้วยสาเหตุง่าย ๆ คือ นักเล่นหุ้นบ้านเรานิยมเล่นกับราคาหุ้นในแต่ละวัน โดยซื้อหุ้นไปตามข่าวลือ
มุ่งหวังจะทำกำไรมาก ๆ เพียงชั่วข้ามวัน และลืมประสบการณ์การขาดทุนที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อนักลงทุนรายย่อย จึงสร้างกระแสข่าวลือต่าง
ๆ ได้อย่างง่ายดาย เพื่อฉกฉวยกำไรจากเหยื่อที่พร้อมลงทุนซื้อหุ้นตามข่าวลือ
ด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเป็นเวลานาน โดยไม่ยอมศึกษาหาข้อมูลที่แท้จริง
เพื่อประกอบการลงทุนในแต่ละครั้ง
"เอกธนกิจ" นับเป็นบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่ที่มีข่าวลืออย่างสม่ำเสมอ
ไม่ว่าจะในยามที่ตลาดหุ้นเฟื่องฟูหรือตกต่ำ
ในยามเฟื่องฟู ข่าวกำไรจากพอร์ตลงทุนอย่างมหาศาลทางบัญชี ครั้งแล้วครั้งเล่าถูกปล่อยออมาฉุดราคาหุ้นของเอกธนกิจพุ่งกระฉุดได้ไม่ยากเย็น
ประมาณ 2 ปีก่อน หุ้นของเอกธนกิจเคยสูงเกือบ 500 บาทต่อหุ้น เมื่อมีกระแสข่าวการเพิ่มทุนหลุดรอดออกมา
ภายหลังการเพิ่มทุน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 15 บาท เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์
2538 และราคาหุ้นได้ถูกปรับลงมาเหลือประมาณ 150 บาทตามสัดส่วน ข่าวลือต่าง
ๆ ก็เงียบหายไปกับสายลม นับจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามภาวะของตลาดหลักทรัพย
์และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง ราคาหุ้นของเอกธนกิจตกต่ำลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในปี
2539 ราคารูดลงอย่างต่อเนื่อง
และแล้วกระแสข่าวเรื่องความไม่มั่นคงทางการเงินของบริษัทก็เริ่มถูกกระพือขึ้นมา
นับแต่เดือนตุลาคม 2539 และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องสลับกับการออกแถลงข่าวของผู้บริหารกลุ่มเอกธนกิจนาม
ปิ่น จักกะพาก ซึ่งทุกครั้งจะยืนยันถึงสภาพคล่องของบริษัท ความมั่นคงทางการเงิน
คุณภาพสินเชื่อ และอื่น ๆ ซึ่งดูเหมือนจะไร้ผล
29 มกราคม 2540 หุ้นเอกธนกิจถูกเทขาย จากโบรกเกอร์หลายแห่งด้วยเหตุผล คือ
การขาดทุนมหาศาลจากอัตราแลกเปลี่ยน พอร์ตลงทุน และบริษัทมีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง
ภายในเวลา 1 ปี ราคาหุ้นของเอกธนกิจตกลงกว่า 80% จาก 157 บาทต่อหุ้น เหลือเพียง
30 บาทเศษ ต่ำกว่ามูลค่าหุ้นตามบัญชีเช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ ในกลุ่มเงินทุนหลักทรัพย์
ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) เหลือเพียง 6 เท่ากว่า ๆ ต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของกลุ่มที่ประมาณ
8 เท่ากว่า ๆ
แหล่งข่าวหลายกระแสยืนยันตรงกันว่า "เป็นการทุบหุ้นเพื่อช้อนซื้อของกลุ่มผู้ไม่หวังดีมากกว่า
และข่าวลือเกี่ยวกับเอกธนกิจก็มีให้เห็นบ่อย ๆ จนนักลงทุนน่าจะเคยชินแล้ว
แต่ก็ไม่วายยังหาประโยชน์ได้" อย่างไรก็ดี มีกระแสข่าวว่า ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.) ให้ความสนใจกับกรณีดังกล่าวเช่นกัน เพราะหากเป็นการสร้างข่าวเพื่อทำราคาไม่ว่าจะในขาขึ้นหรือขาลงล้วนเข้าข่ายความผิดทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นไปได้สำหรับนักลงทุนในขณะนี้ คือ การพิจารณาซื้อหรือขายหลักทรัพย์ให้รอบคอบมากขึ้น
เชื่อข้อเท็จจริงแทนที่จะตื่นตระหนกกับข่าวลือ
จากงบการเงินรวมปี 2539 ของเอกธนกิจ (ยังไม่ผ่านการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชี)
พอจะยืนยันฐานะความมั่นคงของบริษัทได้ดี บริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
89.55 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนลดลง 29.55 ล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2538 ซึ่งขาดทุน
119.10 ล้านบาท
ในส่วนของพอร์ตลงทุนนั้น เอกธนกิจมีผลขาดทุนจากการลดลงของมูลค่าเงินลงทุนในบริษัทย่อยประมาณ
1,000 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากหลักทรัพย์เพื่อลงทุนอีกประมาณ
1,450 ล้านบาท ซึ่งผลขาดทุนเหล่านี้ไม่ได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในกระแสเงินสดจริง
จนกว่าบริษัทจะมีการขายเงินลงทุนเหล่านั้นออกไป
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว ผลขาดทุนทางบัญชีเหล่านี้ก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
เหมือนที่ครั้งหนึ่งเอกธนกิจเคยกำไรจากพอร์ตลงทุนทางบัญชีอย่างมหาศาลจนเป็นจุดเด่นในการสร้างข่าวลือล่อเหยื่อมาซื้อหุ้น
การขาดทุนทางบัญชีครั้งนี้จะนำมาปรับลดเงินกองทุนหรือส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทจาก
16,533 ล้านบาท ให้เหลือเพียง 14,074 ล้านบาทเท่านั้น ไม่กระทบกับสภาพคล่องของบริษัท
จนเป็นเหตุให้ฐานะการเงินสั่นคลอนแต่อย่างใด นอกจากนี้ เอกธนกิจยังมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง
19.9% ขณะที่แบงก์ชาติกำหนดไว้เพียง 7.5% เท่านั้น
เมื่อไม่นานมานี้ เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถึงขั้นออกโรงสยบข่าวลือในเรื่องดังกล่าวด้วยตนเอง
โดยยืนยันว่า ฐานะการเงินของเอกธนกิจไม่มีปัญหา กระแสข่าวเรื่องไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้แปลงสภาพที่เสนอขายให้กับนักลงทุนต่างประเทศ
(อีซีดี) ไม่มีมูลความจริง เพราะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อยเพียง 2.5 ล้านบาทเท่านั้น
และเอกธนกิจก็ชำระเรียบร้อยแล้ว เรื่องการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนก็เช่นกัน
นอกจากนี้ การจัดชั้นหนี้สงสัยจะสูญ เอกธนกิจก็มีการตั้งสำรองอย่างครบถ้วน
ไม่มีปัญหา
อย่างไรก็ตาม เริงชัย ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะมีปัญหาในส่วนของบริษัทในเครือเอกธนกิจ
ที่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ควรจะแยกแยะในการพิจารณา และบริษัทในเครือที่ปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ใช่สถาบันการเงิน
จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อบริษัทแม่
ทั้งนี้ บริษัทในเครือเอกธนกิจส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์
วัสดุก่อสร้าง และตกแต่ง และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่ซบเซาอย่างมากในปัจจุบัน
แม้เอกธนกิจจะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องต่าง ๆ ตามข่าวลือ แต่ผลประกอบการที่ตกต่ำลงโดยปี
2538 เอกธนกิจมีกำไรประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่สำหรับปี 2539 บริษัทมีกำไร
1,500 ล้านบาท รวมถึงภาวะทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ปริมาณธุรกิจที่ลดน้อยลง
ย่อมส่งผลถึงราคาหุ้นในตลาดฯ
เอกธนกิจมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (non performing loan) ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นจากปี
38 มีเพียง 2.5% ของพอร์ตสินเชื่อทั้งหมด แต่ในปี 39 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 4.8%
ของพอร์ต หากแยกออกมาเฉพาะพอร์ตเช่าซื้อ จะมีสัดส่วน 5.9% ในปี 38 และ 7.6%
ในปี 39 โดยมีสำรองหนี้สูญด้านเช่าซื้อ 4.4% ในปี 38 และ 6.6% ในปี 39
ทั้งนี้ ปิ่น จักกะพาก แถลงถึงนโยบายของบริษัทในภาวะชะลอตัวเช่นนี้ว่า "เราจะไม่เน้นการโตเร็ว
ต้องมาเน้นที่คุณภาพและลดต้นทุน"
อย่างไรก็ดี การที่สินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นนั้น เป็นไปตามภาวะทางเศรษฐกิจที่การเงินค่อนข้างตึงตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทำให้ความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ของลูกค้าลดลง
จากปัจจัยพื้นฐาน และแนวโน้มอนาคตของกลุ่มสถาบันการเงิน เอกธนกิจอาจจะไม่มีปัญหาในเรื่องฐานะการเงินและสภาพคล่อง
แต่การทำกำไรย่อมลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นที่ตกต่ำลงอย่างมากในช่วง
1 ปีที่ผ่านมา มีความสมเหตุสมผลในการซื้อหรือขายอย่างไร นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
ข่าวลือในตลาดหุ้นบ้านเรามีให้เห็นอยู่แทบทุกวัน ผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือ
คนที่หลงเชื่อไปซะทุกเรื่อง โดยไม่พิจารณาถึงข้อเท็จจริง ทั้งยังทำให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีทั้งหลายกระหยิ่มยิ้มย่องทุกครั้งที่สร้างข่าวออกมาป่วนตลาด
เพราะสามารถทำกำไรได้มากมาย เอกธนกิจเป็นบริษัทที่มีข่าวลืออย่างสม่ำเสมอไม่ว่าในยามรุ่งเรืองหรือตกต่ำ
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่นักลงทุนควรจะระมัดระวังไว้บ้างเมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับ
"กลุ่มเอก"