ดันหุ้นชินอุ้มดัชนีต้านข่าวลบ


ผู้จัดการรายวัน(29 พฤศจิกายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

นักลงทุนตื่นคลังถังแตกซ้ำตลาดหุ้นไทยทรุดต่อ รอลุ้นตัวเลขเศรษฐกิจต.ค. จับตา ทีพีไอ วันนี้ตอกย้ำความเชื่อมั่นรัฐบาลทรุดหนัก หุ้นชินฟื้นพยุงตลาดได้ข่าวลือขายให้ไชน่าเทเลคอมดัน หลังซึมลงมา 2 เดือนจากความเชื่อมั่นรัฐบาลทรุดฮวบ พบมาร์เกตแคปหุ้นกลุ่มชินฯหาย 2.8 หมื่นล้าน ผู้ว่า ธปท.ยืนยันสภาพคล่องยังปกติ คลังแค่ขอวงเงินเพิ่ม "ทนง" ระบุเพียงแค่ขอสำรองวงเงินเกินบัญชี 'คลัง' แย้มจีดีพีปีนี้โตใกล้เคียง 4.5% เตรียมแถลงความชัดเจนตัวเลขจีดีพีทั้งปี 30 พ.ย.นี้

วานนี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังซบเซา เนื่องจากนักลงทุนกังวลปัจจัยด้านการเมือง โดยเฉพาะการใช้เตรียมขออนุมัติแผนปรับปรุงเงินกู้ประจำปีงบประมาณ 2549 เพื่อเตรียมสภาพคล่องในการบริหารงาน ตลอดจนนักลงทุนยังเฝ้าจับตาตัวเลขเศรษฐกิจเดือนตุลาคม และผลการตัดสินจากศาลฎีกากรณี นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ขอใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน บมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย(ทีพีไอ) ซึ่งจะรู้ผลในวันนี้(29พ.ย.) ส่งผลดัชนีปิดที่ 666.69 จุด ลดลง 3.20 จุด หรือ 0.48% มูลค่าการซื้อขาย 7,474.47 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 435.01 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 328.57 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 106.45 ล้านบาท

นักวิเคราะห์ บล. ไซรัส จำกัด ระบุว่า กรณีที่กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติแผนปรับปรุงเงินกู้ประจำปีงบประมาณ 2549 เพื่อความคล่องตัวในการบริหารเงินสดของรัฐบาล รวมทั้งได้มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาคอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังกังวลว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินในการใช้จ่ายงบประมาณมาคืนได้ บวกกับปัจจัยลบเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยถึงสิ้นปีนี้

นักวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กรณีทีพีไอ หากการปรับโครงสร้างหนี้ไม่แล้วเสร็จ และมีปัญหาการเพิ่มทุน คาดว่าจะกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นดีลใหญ่ และจะกระทบต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลด้วย หลังจากที่ผ่านมามีหลายโครงการของรัฐบาลไม่เป็นตามแผน เช่น แปรรูป กฟผ. เลื่อนเปิดสนามบินสุวรรณภูมิ กสช.ล่ม และการปรับเปลี่ยนโครงการเมกะโปรเจกต์

ด้านหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (SHIN) วานนี้สร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุน เนื่องจากราคาดีดตัวขึ้นสวนทิศทางภาพรวมตลาด โดยปิดที่ 38.75บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 937.24 ล้านบาท ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดของวัน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า มีข่าวลือปรากฎในห้องค้าโบรกเกอร์ว่า SHINเจรจาขายหุ้นให้กับ บริษัท ไชน่าเทเลคอม ของประเทศจีนอีกครั้ง

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า สำหรับ หุ้น SHIN นั้นราคาได้ปรับตัวลงมาจากระดับ 40 กว่าบาทในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาเก็บบางส่วนตั้งแต่ปลายสัปดาห์ก่อนแล้ว โดยมองว่าหากราคาอ่อนตัวก็จะมีการเข้าไปเก็บบ้าง ประกอบกับวานนี้มีเม็ดเงินนอกไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยผ่านโบรกเกอร์ต่างชาติ

ข่าวลือกรณี SHIN จะขายหุ้นให้กับต่างชาติเป็นความพยายามของชินฯมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสิงคโปร์ ตลอดจนไชน่าเทเลคอม ซึ่งที่ผ่านมาดีลไม่สำเร็จเพราะไม่สามารถตกลงราคากันได้ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ชินฯต้องการขายในระดับราคาสูงกว่า 43 บาท เพราะจะแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการขายหุ้น ดังนั้นทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรจากข่าวลือดังกล่าวได้

อย่างไรก็ตาม จากการรวบรวมข้อมูลช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานับแต่มีปัจจัยการเมืองเข้ามากระทบตลาดหุ้น และนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขัดแย้งกับสื่อฯ พบว่า ราคาหุ้นในกลุ่มชินฯ 5 บริษัท ได้แก่ ADVANC ITV SATTEL SC และ SHIN ต่างปรับตัวลดลงจนมาร์เกตแคปหรือมูลค่าหุ้น(4ต.ค.-25 พ.ย.) ลดลง 2.8 หมื่นล้านบาท โดย ราคาหุ้น ADVANC ลดลง 4.75% (ปิดที่100 บาท) , ITV ลดลง 15% (ปิดที่ 10.20บาท), SATTEL ลดลง 12.18% (ปิดที่ 13.70บาท) SC ลดลง 14.47% (ปิดที่ 9.75 บาท )และ SHIN ลดลง 7.41% (ปิดที่ 37.50บาท)

*'ทนง' ชี้แค่ตั้งสำรองเพิ่มเท่านั้น

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึง กรณีที่กระทรวงการคลังจะเพิ่มเงินคงคลังอีกประมาณ 100,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2549 ว่า เรื่องดังกล่าวที่ดำเนินการไม่ใช่เพราะว่าเงินคงคลังที่มีอยู่ไม่เพียงพอแต่เป็นเพียงการสำรองวงเงินเบิกเกินบัญชี (O/D) เหมือนอย่างของธนาคารพาณิชย์เท่านั้นซึ่งจะต้องเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณา โดยคาดว่าจะเสนอได้ในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ เหตุที่ต้องมีการเพิ่มวงเงิน เป็นเพราะในปีงบประมาณ 2548 มีการเร่งรัดการจ่ายเงินงบประมาณสูงถึง 92% และเกิดจากเงินที่ไม่ได้อยู่ในงบประมาณถูกนำไปใช้ในกรณีฉุกเฉิน อาทิ เหตุการณ์สึนามิ เป็นต้น และยังจะต้องสำรองเพื่องบประมาณผูกพันในปี 2546 และ 2547 ที่ยังไม่ได้เบิกจ่ายและจะมาเบิกจ่ายในปี 2548 เป็นจำนวนมากจึงส่งผลให้ต้องมีการเพิ่มวงเงินคงคลังดังกล่าวออกไปอีก

“วงเงินที่เพิ่มขึ้นจะต้องขอจากครม. โดยจะเป็นการออกพันธบัตรในระยะสั้นในแบบ 3-6 เดือน หลังจากนั้นเราจะมาคำนวณดูว่าเงินคงคลังควรจะตั้งไว้ในระดับที่เท่าไร ซึ่งในเรื่องการใช้จ่ายไม่ได้มีปัญหาอะไร และเราไม่ได้กู้แต่เป็นเพียงกระแสเงินคงคลังเท่านั้นซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินงบประมาณแต่อย่างใด” นายทนง กล่าว

*ธปท.ยันสภาพคล่องปกติ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง กรณีที่กระทรวงการคลัง จะขอเพิ่มเพดานการออกตั๋วเงินคลัง จาก 1.7 แสนล้านบาท เป็น 2.7 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้กรณีดังกล่าวเป็นเพียงขั้นขอวงเงินไว้ ยังไม่มีการอนุมัติและออกตั๋วเงินคลังแต่อย่างใด จึงยังไม่กระทบสภาพคล่องในระบบ

นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สวค.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ได้มีการประชุมคณะทำงานนโยบายเศรษฐกิจ ที่มีนายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานกิตติมศักดิ์ สวค. เป็นประธานที่ประชุมเพื่อสรุปตัวเลขจีดีพี ของปี 2548 โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง 4.5% ตามที่นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เคยกล่าวไว้

' ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้ประมาณการเศรษฐกิจทั้งปีอยู่ที่ 4.1-4.6% อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการคลังจะแถลงตัวเลขจีดีพีของทั้งปี 48 อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 30 พ.ย. 48' นายคณิศ กล่าว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.