"โต้ง"หวังท้ายปีหุ้นคึก


ผู้จัดการรายวัน(29 พฤศจิกายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"กิตติรัตน์-โต้ง" เผยมีโอกาสเกิด "DECEMBER Effect" ท้ายปีหลังเห็นสัญญานักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ ระบุหลังวันที่ 9 ธ.ค.ประเด็นทางการเมืองจะชัดเจนขึ้น ติงนักวิเคราะห์ไม่ควรอิงกับสถานการณ์ในอดีต "ก้องเกียรติ" ระบุปัจจัยลบส่วนใหญ่เป็นเรื่องในประเทศ เปรยตลาดหุ้นไทยตามกระแส"โลกาภิวัฒน์"ไม่ทัน ด้านเอ็มเอไอหารือบริษัทที่ปรึกษาฯ ลดค่าใช้จ่ายนำหุ้นเข้าจดทะเบียน หวังดึงบริษัทเข้าซื้อขายจำนวนมาก ส่งผลดึงนักลงทุนสถาบันซื้อขายเพิ่มขึ้น

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า บรรยากาศของการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วง 1 เดือนก่อนสิ้นปีมีโอกาสสูงที่ดัชนีอาจจะปรับขึ้นและเกิดปรากฏการณ์ DECEMBER Effect เนื่องจากมีสัญญาณว่านักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นในช่วงท้ายปี

ทั้งนี้ ปรากฎการณ์ทั้ง DECEMBER Effect หรือ JANUARY Effect จะเกิดกับตลาดหุ้นในช่วงท้ายปี ซึ่งลักษณะทั้ง 2 อยน่างจะแตกต่างกันตามพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนสถาบัน โดยการเกิด DECEMBER Effect หมายถึงว่าในช่วงก่อนจะถึงเดือนธ.ค. นักลงทุนสถาบันจะขายหุ้นออกมาก่อนจะกลับเข้าซื้อในช่วงธ.ค.จนทำให้ดัชนีปรับขึ้นอย่างโดดเด่นขณะที่ JANUARY Effect จะเกิดขึ้นหากนักลงทุนสถาบันเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ออกมาก่อนที่จะถึงวันหยุดยาวช่วงท้ายปีจนทำให้ดัชนีปรับลดลงอย่างหนัก ก่อนจะกลับเข้ามาซื้ออีกครั้งในช่วงเดือนม.ค.

"ผมไม่อยากจะไปฟันธงว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรกับตลาดหุ้นไทยไม่ว่าจะเป็น DECEMBER Effect หรือ JANUARY Effectเพราะการประเมินจะต้องนำปัจจัยรอบข้างมาร่วมการพิจารณา"นายกิตติรัตน์กล่าว

ในส่วนเรื่องทางการเมือง การเรียกให้ร่วมชุมนุมของแกนนำที่มีความคิดไม่ตรงกับรัฐบาลในวันที่ 9 ธ.ค. น่าจะทำให้สถานการณ์หลายอย่างมีความชัดเจนมากขึ้น เพราะจำนวนผู้ชุมนุมมาร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมากหรือน้อยก็จะสามารถระบุได้ถึงความชัดเจนบางอย่าง

สำหรับการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยคาดการณ์อิงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับแนวโน้มในอนาคต สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางคนประเมินดัชนีช่วงที่ตลาดดีว่าอาจจะถึง 800 จุด หรือ ประเมินว่าในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่ดีดัชนีจะปรับตัวลดลงมากแตะที่ 600 จุด ซึ่งการประเมินแบบเอาสถานการณ์ในอดีตมาสนับสนุนไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในช่วงปลายปี หลังจากช่วงที่ผ่านมาปัจจัยที่เข้ามากระทบไม่ว่าจะเป็นการระงับการกระจายหุ้นของ บมจ. กฟผ. รวมไปถึงปัญหาทางการเมืองซึ่งปัญหาต่างๆเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศทั้งนั้น

การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีหากปัจจัยหลายอย่างยังไม่มีความชัดเจน การลงทุนในระยะกลางหรือระยะยาวก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานที่ดี เนื่องจากบางประเด็นปัญหาไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเปลี่ยนแปลงประกอบกับหลายเรื่องนักลงทุนรับรู้แล้ว และเข้าใจถึงปัญหาดี

สำหรับการเข้าจดทะเบียนของบริษัทต่างๆในช่วงท้ายปี สิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดความน่าสนใจของหุ้นแต่ละบริษัทคงเป็นเรื่องการให้ส่วนลดของราคาจองว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ขนาดไหน โดยปกติส่วนลดของราคาหุ้นที่เปิดจองซื้อจะอยู่ในระดับ20-30% ให้ภาวะที่ตลาดหุ้นปกติ ขณะที่ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนการกำหนดราคาและส่วนลดอาจจะต้องทำให้เกิดสิ่งที่ดึงดูดนักลงทุนให้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงเดือน ธ.ค.จะมีหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่มีขนาดไม่ใหญ่มากจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบอะไรต่อภาพรวมของตลาดหุ้น

นอกจากนี้ ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทย คือ การที่ไม่สามารถตามกระแสโลกาภิวัฒน์ได้ทัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยังไม่มีอุตสาหกรรมใดที่เป็นอุตสาหกรรมหลักที่เป็นตัวแทนของประเทศ รวมถึงคุณภาพของนักลงทุนที่ส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจกับการลงทุนในลักษณะเก็งกำไร

**maiถกเอฟเอลดค่าที่ปรึกษาฯ

นายวิเชฐ ตันติวานิช กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ(mai) เปิดเผยว่าขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอได้มีการหารือบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินซึ่งมีจำนวน10 รายที่อยู่ในโครงการ FA Pool เพื่อหาวิธีในการลดต้นทุนในการนำบริษัทเข้ามาจดทะเบียนสำหรับบริษัทที่มีขนาดเล็กซึ่งเชื่อว่าถ้าสามารถกำหนดวิธีการดังกล่าวได้ จะทำให้มีบริษัทขนาดเล็กประเภทวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอมากยิ่งขึ้นเพราะปัจจุบันนี้มีบริษัทที่มีขนาดเล็กและต้องการหาแหล่งระดมทุนเพื่อขยายกิจการยังมีอีกเป็นจำนวนมากโดยกลุ่มธุรกิจที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะได้แก่ธุรกิจสำหรับคนรุ่นใหม่เช่นด้านธุรกิจมี

ทั้งนี้ถ้ามีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอเป็นจำนวนมากจะทำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะจะทำให้ตลาดหุ้นมีสินค้าเพิ่มขึ้นรวมถึงมูลค่าการซื้อขายที่จะมากยิ่งขึ้นเช่นกันและจะเป็นปัจจัยช่วยทำให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอเพิ่มมากขึ้น

นายวิเชฐ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)ไทยพาณิชย์ได้ออกกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เอ็มเอไอซึ่งในช่วงที่เสนอขายครั้งแรกได้จำนวนเงินมาประมาณ 60ล้านบาทและขณะนี้ขนาดของกองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 100 ล้านบาทแล้ว นอกจากนี้คาดว่าภายในปีหน้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอมีทิศทางที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาซื้อขายมากขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.