ท่ามกลางความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ธนาคารพาณิชย์ต่างพยายามสรรค์สร้างและสรรหาสิ่งที่เยี่ยมที่สุดมาให้แก่ลูกค้า
เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้า และลดต้นทุนในเรื่องบุคลากรของธนาคาร ด้วยเหตุนี้การบริการในยุคของการแข่งขันที่ดุเดือดเช่นนี้
จึงเป็นเสมอืนกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่ความสำเร็จของบรรดาธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย
ปีนี้ ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ สาขาประเทศไทย ได้ประกาศตัวอย่างองอาจลงลุยในสนามลูกค้ารายย่อยอย่างเต็มตัว
พร้อมงัดกลเม็ดเด็ดพรายต่าง ๆ ออกมาบริการลูกค้าสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งรายอื่นทั้งไทยและเทศ
ตั้งแต่กลางปี 1995 ฮ่องกงแบงก์ได้หันมาให้ความสนใจกับธุรกิจบุคคลธนกิจ
(Personal Banking) อย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้ออกผลิตภัณฑ์บัตรเครดิตเข้าเจาะตลาดลูกค้ารายย่อยเป็นครั้งแรกทั้ง
ๆ ที่เข้ามาสร้างฐานธุรกิจในไทยเป็นเวลานานกว่าศตวรรษปล่อยให้ยักษ์ใหญ่อย่างซิตี้
แบงก์ ที่เข้ามาทีหลังแต่แซงหน้าครองความเป็นเจ้าตลาดไปก่อนหน้า
จนถึงสิ้นปี 1996 ฮ่องกงแบงก์ ออกบัตรพลาสติกเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวน 20,000
ใบเศษ แต่ยังไม่ถึงขั้น Critical Mass ซึ่งตามเจตจำนงของแบงก์ในปีนี้จะต้องก้าวไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน
เพราะเป้าที่รออยู่อีกไม่ถึง 30,000 ใบก็จะถึงความเป็น Critical Mass คือ
จะต้องมีจำนวนมากกว่า 50,000 ใบ
"เราคาดว่าสัดส่วนรายได้ของเราในปี 1997 นี้จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ผ่านมา
90% มาจากธุรกิจ Trade Service, Corporate Banking, Treasury, Capital Market
และ Custodian ขณะที่อีก 10% เป็นสัดส่วนของธุรกิจ Personal Banking โดยจะเปลี่ยนมาเป็น
50 : 50 คือ มาจากธุรกิจ Personal Banking มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 50% และอีก
50% ก็จะมาจากธุรกิจที่แบงก์มีความเชี่ยวชาญและแข็งแกร่งอย่าง Trade Service,
Corporate Banking และ Custodian" ริชาร์ด ครอมเวลล์ กรรมการผู้จัดการใหญ่
ประจำประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางรายได้ของแบงก์ในปีนี้
การได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเครือข่ายเอทีเอ็มไทยตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว
ถือเป็นความสำเร็จขั้นที่สองของฮ่องกงแบงก์ในการสร้างฐานลูกค้ารายย่อย ซึ่งช่วยให้การขยายธุรกิจของแบงก์เป็นไปได้อย่างสะดวกและง่ายขึ้น
ขณะเดียวกันทางธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า Assetvantage Account ซึ่งเป็นบัญชีลูกผสมระหว่างออมทรัพย์กับกระแสรายวันในรูปเงินบาทที่สามารถเบิกเงินเกินบัญชี
และระบบตัดบัญชีอัตโนมัติที่จะโอนเงินจากบัญชีอื่นเพื่อชำระเช็คโดยที่ลูกค้าไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาที่ธนาคาร
นอกจากนี้ ในบัญชีดังกล่าวยังมีบริการบัญชีออมทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศ บัญชีเงินฝากประจำสกุลเงินบาทหรือต่างประเทศ
บัญชีเงินฝากประจำสกุลเงินบาทหรือต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยพิเศษระยะเวลา
3 เดือน 6 เดือน และ 12 เดือน ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการนี้จะต้องเปิดบัญชีเริ่มต้นที่
105,000 บาท
นอกเหนือจากนี้ ทางแบงก์ยังได้เริ่มหันมาจับตลาดสินเชื่อบุคคลธรรมดาที่ต้องการซื้อบ้านเป็นของตนเอง
(Home Owner Loan) จากก่อนหน้านี้ที่เคยเน้นการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะการผลิต
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ส่งออก
"ผมคิดว่าตัวเลขการส่งออกปี 96 ไม่ได้เลวร้ายมากนัก และผมก็พูดได้เต็มปากว่าธุรกิจ
Trade Service ของเราเติบโตกว่าตัวเลขการส่งออกของไทย แม้ว่าเราจะมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับการส่งออกค่อนข้างสูง
แต่ฐานลูกค้าของเรายังเล็ก ฉะนั้นความสามารถในการขยายตัวจึงยังมีมากแม้ว่าการส่งออกของประเทศจะตกต่ำ
ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องนักที่จะนำการเติบโตของเราเทียบกับการขยายตัวของประเทศทั้งหมด
ส่วนลูกค้าของเรายังไม่มีปัญหามากนักเท่าที่ทราบก็มีออร์เดอร์ลดลง ซึ่งเราก็ต้องเข้าไปช่วยลูกค้าพยายามผ่อนผันให้เขาผ่านช่วงที่ยากลำบากของธุรกิจไปให้ได้
แต่ทั้งนี้เราก็เชื่อมั่นว่า ตัวเลขส่งออกจะก้าวกระโดดขึ้นมาในปีนี้"
ตามพันธะที่ให้ไว้กับ WTO ไทยจะต้องเริ่มทยอยเปิดเสรีภาคการเงิน โดยปีนี้จะเป็นปีแรก
ซึ่งตามแผนแม่บททางการเงิน กระทรวงการคลังจะอนุญาตให้แบงก์ต่างชาติมีประกอบกิจการสาขาเต็มรูปแบบขยายสาขาเพิ่มเติมได้อีก
2 สาขา ซึ่งฮ่องกงแบงก์ได้ยื่นคำขอไปยังกระทรวงการคลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ฮ่องกงแบงก์มั่นใจว่า ปีนี้จะสามารถขยายฐานธุรกิจลูกค้ารายย่อยได้มากขึ้นและสะดวกขึ้น
ซึ่งนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนี้ แบงก็ก็ได้เตรียมความพร้อมด้วยการนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาอำนวยความสะดวกและเสริมสร้างความแข็งแกร่งเชิงธุรกิจ
โดยมีเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำการบริการธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขณะนี้แบงก์กำบังทดสอบระบบบริการธนาคารทางโทรศัพท์
(Telephone Banking) ที่จะให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนมีนาคมนี้
พร้อมกันนั้น แบงก์ก็ยังได้พัฒนาระบบการบริการทางธนาคารอิเล็กทรอนิกส์จนถึงประตูบ้านผ่านซอฟต์แวร์
Microsoft Money Software ซึ่งมีชื่อเรียกว่า "Hexagon" ระบบนี้เป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่แบงก์นำเข้ามาเพื่อใช้เจาะลูกค้า
Corporate ในไทย และยังเป็นระบบที่ยอมรับว่าปลอดภัยที่สุด โดยมีบริษัทเฟิร์สท
ไดเร็คท์ อันเป็นบริษัทลูกของ HSBC ในอังกฤษเข้ามาเป็นผู้วางระบบ โดยระบบนี้ลูกค้าสามารถใช้บริการและทำธุรกรรมผ่านเครื่องพีซีที่บ้าน
ซึ่งถือว่าเป็นระบบที่เหมาะสำหรับประเทศที่มีปัญหาการจราจรติดขัดอย่างไทย
เวลานี้ทางฮ่องกงแบงก์ก็กำลังดำเนินการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนี้เจาะตลาดรายย่อยตามบ้าน
หรือที่เรียกว่า PC home banking ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของตลาด
ก่อนที่จะนำผลที่ได้ไปให้หน่วยงานด้าน IT ในฮ่องกงหรือแคนาดาเป็นผู้พัฒนาก่อนที่จะนำมาให้บริการแก่ลูกค้า
ซึ่งทางครอมเวลล์คาดว่าจะสำเร็จได้ภายในปีนี้อย่างแน่นอน
จนถึงขวบปีที่ 108 ธนาคารฮ่องกงฯ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 2.5 พันล้านบาทจากเดิม
2 พันล้านบาท แต่หากรวมกิจกรรม PIBF ที่มีอยู่ 2 แห่งที่เชียงใหม่ และชลบุรี
ธนาคารจะมีทุนจดทะเบียนถึง 2.7 พันล้านบาท แต่เนื่องจากข้อบังคับของทางการธนาคารต่างชาติ
จึงไม่สามารถใช้ฐานเงินทุนของบริษัทแม่ที่อยู่ในต่างประเทศได้ ดังนั้น จึงต้องระดมทุนเงินบาทมาใช้ในกิจการ
ในกลางปี 1995 ฮ่องกงแบงก์เป็นธนาคารต่างชาติแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้ออกพันธบัตรระยะเวลา
5 ปี มูลค่า 3 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 11% ซึ่งก็ช่วยให้การดำเนินธุรกิจของแบงก์คล่องตัวมากขึ้น
และยังมีแหล่งระดมทุนเงินบาทมากกว่าธนาคารต่างชาติคู่แข่งรายขึ้น
"การที่เราออกบาทบอนด์ เพราะเรามีสาขาเพียงแห่งเดียว จึงเป็นเรื่องยากที่จะ
run business และการที่เราเข้าร่วมกับ ATM Pool ก็ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจได้สะดวกขึ้น
การที่เราเข้ามาที่นี่ก็เพื่อสนับสนุนประเทศไทย บริษัทไทย และบรรษัทข้ามชาติทุกชาติ
มีบริษัทเป็นจำนวนมากที่ต้องการกู้ยืมเงินบาท ซึ่งเราจำเป็นจะต้องหาเงินบาทด้วยการกู้ยืมจากธนาคารไทย
หรือในตลาดอินเตอร์แบงก์ ซึ่งค่อนข้างจำกัดสามารถกู้ได้เฉพาะข้ามคืน และอัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนสูงมากสามารถวิ่งขึ้นลงในระยะเวลาอันสั้น
มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะทำธุรกิจ เพราะเราไม่สามารถผลักภาระตรงนี้ไปให้ลูกค้าได้"
ซึ่งครอมเวลล์ ได้ยืนยันว่า ธนาคารฯ มีความชำนาญและพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะออกบาทบอนด์รอบสอง
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง
นอกจากนี้ ในปี 1997 ฮ่องกงแบงก์ยังมีนโยบายที่จะเพิ่มบทบาทธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์
ซึ่งมีประวิณ มาลากุล ณ อยุธยา เป็นผู้รับผิดชอบดูแล บงล. HSBC (ประเทศไทย)
ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อจาก บงล.วาร์ดเลย์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ในฐานะกรรมการผู้จัดการ
"ภารกิจหลักของ บงล. ปีนี้ เราตั้งใจจะแยกธุรกิจเงินทุนออกจากหลักทรัพย์ในด้านเงินทุน
เวลานี้เราได้ขยายงานอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ายังไม่ใช่เงินทุนเต็มตัว เพราะยังมีหลักทรัพย์พ่วงเข้ามาด้วย
การทำงานจึงไม่มี focus มากเท่าที่ควร ส่วนหลักทรัพย์ทำเงินให้กับบริษัทน้อยมากยิ่งในภาวะตลาดอย่างนี้"
ประวิณ กล่าวถึงภาระที่จะต้องเร่งทำให้เสร็จภายในปีนี้ ซึ่งเมื่อแยกออกจากกันแล้วจะต้องทำการเพิ่มทุนและขอใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ให้ครบ
4 ปีจากที่มีเพียงใบเดียว ความคืบหน้าในการแยก บล. ออกจาก บง. อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน
ก.ล.ต.
"เราได้ยื่นคำขอไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทีนี้จะต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้
ทั้งในเรื่องของการเพิ่มทุน การขยายธุรกิจในอนาคต ตอนนี้อยู่ในช่วงของการพูดคุยเจรจา
และเราก็มีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ซึ่งด้านหลักทรัพย์จำเป็นจะต้องมีการเพิ่มทุนเข้ามา
ซึ่งกำลังคุยกันอยู่"
เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจเงินทุนมีพอร์ตสินเชื่อมูลค่าทั้งสิ้น 3 พันล้านบาท
โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนมากที่สุดประมาณ 30-40% ที่เหลือก็จะเป็นธนาคารพาณิชย์
บริษัทเงินทุน บริษัทธุรกิจอื่น ๆ ตลอดจนถึงตั๋วแลกเงิน (B/E) ขณะที่ส่วนของหลักทรัพย์
บริษัทได้ยุติกิจกรรมไปเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เนื่องจากตลาดไม่เอื้ออำนวย
ตามนโยบายของกลุ่ม ปีนี้ในส่วนของเงินทุนและหลักทรัพย์จะไม่เร่งขยายการเติบโตมากเหมือนที่ผ่านมา
เนื่องจากเล็งเห็นว่าธุรกิจนี้เริ่มจะถึงจุดอิ่มตัว ดังนั้น สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก
คือ การหันมาทบทวนสิ่งที่ทำไปในอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด
"ในระหว่างที่ทุกคนไม่แน่ใจว่า บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร และมาตรการหลายอย่างที่นำออกมาบังคับใช้จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน
เราจะต้องคอยระมัดระวัง มิฉะนั้น อาจจะเข้าไปติดในธุรกิจที่ไม่ดี ดังนั้นในปีนี้
เราต้องชะลอตัวลงและจะต้องเป็นปีที่เราให้ความสำคัญกับคุณภาพของธุรกิจที่เรามีอยู่
และสินเชื่อให้ง่ายแต่เอาคืนยาก" ประวิณ สรุปสั้น ๆ แต่ได้ใจความชัดเจน
นับเป็นครั้งแรกที่แบงก์แห่งนี้ออกมาประกาศกลยุทธ์ในเชิงรุกอย่างเด็ดเดี่ยวหลังจากเก็บตัวเงียบเชียบมาเป็นเวลานาน
นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้แบงก์ไทยทั้งหลายต้องหันมาทบ ทวนศักยภาพในการแข่งขันของตนเองบ้างแล้ว
ก่อนที่ความเหนือชั้นจะทิ้งห่างจนไล่ไม่ทัน