TDB - FIN1 - PHATRA - NPAT ร่วมอันเดอร์ไรต์หุ้นกู้


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

ธ.ไทยทนุ ส่งท้ายปีเก่าด้วยการจับมือ FIN1 และ 2 สถาบันใหญ่รับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ MCC ในการจัดโครงสร้างหุ้นกู้ 3,500 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็น 3 TRANCHES และ TRANCHE แรกเสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยการออกในรูปของหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 500 ล้านบาท อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือนสูงสุดของไทยทนุ บวก 1.25% ใน 5 ปีแรกและบวก 2.50% ใน 5 ปีหลัง

เป็นเรื่องน่ายินดีที่เกิดขึ้นระหว่างภาวะซบเซาของตลาดการเงินในบ้านเรา จากการที่ 4+1 สถาบันการเงินให้ได้โคจรมาร่วมงานกัน

ดีลนี้เกิดขึ้นจากความต้องการของธนาคารไทยทนุและบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ ที่จะแสดงผลงานที่เป็นรูปธรรมภายหลังจากการประกาศเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไปเมื่อต้นปี '95 ที่ผ่านมา โดยเมื่อเดือนกันยายนของปีที่แล้ว ผู้บริหารของทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการเจรจาวางแผนการดำเนินงานร่วมกันในสายงานหลัก ๆ คือ ด้าน INVESTMENT BANKING งานด้าน TREASURY งานด้าน CREDIT และส่วนที่เกี่ยวกับ HUMAN RESOURCE รวมถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย

"งานด้าน TREASURY และด้าน CREDIT ผู้บริหารของทั้ง 2 องค์กรก็ได้มีการ WORK ร่วมกันไปบ้างแล้ว แต่เนื่องจากเป็นดีลที่ไม่ชัดเจนเท่ากับดีลที่อยู่ในส่วนของ INVESTMENT BANKING จึงไม่ได้มีการประกาศให้ทราบกันทั่วไป แต่งานในส่วนของ IB จะเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่า เราจึงต้องประกาศให้รู้ว่า เราทำอะไรไปแล้วบ้าง" นิติกร ตันติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการธนาคารไทยทนุ เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายเดือน" พร้อมกับเล่าต่อไปว่า

"ภายหลังที่มีการจับมือกับ FIN1 แล้วเราก็พยายามที่จะ CREATE DEAL ร่วมกัน และตั้งเป้าไว้ว่า ภายในสิ้นปี '95 เราจะต้องสร้างดีลให้ได้ และในที่สุดเราก็ได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้กับ บงล.เอ็มซีซี โดยเอ็มซีซี มีความต้องการเงินทุนระยะยาวในลักษณะอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เพื่อใช้เป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2 (TIER2) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 3,500 ล้านบาท"

จากโจทย์นี้เองก็เป็นหน้าที่ของที่ปรึกษาทางการเงินที่จะต้องหาวิธีในการจัดโครงสร้างเงินก้อนนี้ ให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าและภาวะตลาด ณ ขณะนั้นด้วย ซึ่งดีลนี้นอกจากจะมีไทยทนุกับ FIN1 แล้วยังมี PHATRA กับ NPAT มาช่วยเป็นกำลังสำคัญอีกด้วย โดยทั้ง 4 สถาบันและเอ็มซีซีได้มีการทำงานร่วมกัน จนในที่สุดเงินจำนวน 3,500 ล้านบาทนี้ก็ใช้วิธีการระดมทุนในรูปแบบของการออกเป็นตราสารหนี้ โดยแบ่งเป็น 3 TRANCHES

TRANCHES แรกออกเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิ จำนวน 500 ล้านบาท อายุ 10 ปี มี CALL OPTION ในปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ยอิงกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนสูงสุดของธนาคารไทยทนุ บวก 1.25% โดยจะมีการจ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือนและทุก ๆ เดือนที่ 3 ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสำหรับ 3 เดือนต่อไป และหากสิ้นปีที่ 5 เอ็มซีซี ไม่มีการเรียกคืนหุ้นกู้ อัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนจะได้รับก็คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนสูงสุดของธนาคารไทยทนุ บวก 2.50%

"ก้อนแรกนี้ เราจะจำหน่ายให้กับนักลงทุนประเภท PRIVATE BANKING CUSTOMER หรือลูกค้าระดับ VIP ของธนาคารที่มีความต้องการตราสารหนี้ระยะยาวในอัตราผลตอบแทนที่ดีด้วย เนื่องจากลูกค้าประเภทนี้จะมีความเคยชินกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นกู้ตัวนี้จะได้ผลตอบแทน 1.25% บวกกับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนสูงสุดของธนาคาร ถือว่าเป็นอัตราที่เหมาะสม เนื่องจากเราพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจย้อนหลัง 4 ปีแล้วพบว่า อัตราดอกเบี้ยในปี '95 อยู่ในเกณฑ์ที่สูงกว่าทุกปี ซึ่งก็น่าจะสูงพอแล้ว ต่อจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยก็อาจจะอ่อนตัวลงบ้าง ซึ่งเราอาจจะคาดผิดก็ได้ แต่อัตราผิดตอบแทนของหุ้นกู้ตัวนี้จะมีทั้งลอยตัวและคงที่ ส่วนของลอยตัวก็คือ ลอยตัวตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนสูงสุดของธนาคารไทยทนุ และส่วนที่คงที่ก็คือ บวก 1.25% ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นการรักษาผลตอบแทนให้กับนักลงทุนตลอด 5 ปีแรกของการถือหุ้นกู้ และเป็นการรับประกันว่า ไม่ว่าภาวะตลาดจะตึงตัวหรือซบเซาแค่ไหนนักลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินกับ BANK เสียอีก" นิติกรอธิบายถึงอัตราผ่ลตอบแทนที่น่าสนใจของหุ้นกู้ก้อนแรกของเอ็มซีซี ซึ่งนอกจากไทยทนุกับ FIN1 จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงินแล้ว ทั้ง 2 สถาบันยังรับบทบาทเป็น UNDERWRITER ให้กับหุ้นกู้ก้อนนี้ด้วย

"แม้ว่าเราจะทำหน้าที่เป็น UNDERWRITER โดยตรงไม่ได้ เนื่องจากเรามีเพียงใบอนุญาตที่ปรึกษาทางการเงินเท่านั้น เรายังไม่มีใบอนุญาตให้ทำธุรกิจ UNDERWRITE ได้ ดังนั้นเราจึงทำได้ในลักษณะของการเป็น CO-ORDINATOR หรือผู้ประสานงานให้กับดีลนี้ ซึ่งก้อนแรกนี้เราต้องการขายให้กับนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาที่เป็น PRIVATE BANKING CUSTOMER" นิติกรชี้แจง

ส่วนหุ้นก้อนที่ 2 ที่คาดว่าจะออกภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ไทยทนุและ FIN1 ก็ยังคงทำหน้าที่ไม่แตกต่างจากก้อนแรกโดยหุ้นกู้ก้อนนี้จะออกเป็นวงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หุ้นกู้ก้อนที่ 3 ก็จะตามมาในวงเงินประมาณ 1,500 ล้านบาทเช่นเดียวกัน โดยมี PHATRA และ NPAT ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ LEAD UNDERWRITER ร่วมกับไทยทนุ และ FIN1 ด้วย ทั้งนี้ ใน 2 ก้อนแรก PHATRA และ NPAT ก็ร่วมเป็น CO-UNDERWRITER ด้วย

ลักษณะและคุณสมบัติของหุ้นกู้ 2 ก้อนหลังนี้จะใกล้เคียงกับก้อนแรก เพียงแต่จะมีการใช้กระบวนการ BOOK BUILD ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการนักลงทุน และภาวะตลาดที่สุด

"ดีลนี้น่าจะเป็นดีลตัวอย่างที่ดีที่ทั้ง 4 สถาบันสามารถจับมือร่วมงานกันได้ และทุกฝ่ายก็ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน คือ ในแง่ของไทยทนุกับ FIN1 ก็ได้ทำงานร่วมกันเป็นทั้งที่ปรึกษาทางการเงินในดีลแรกและดีลที่ 2

ส่วนทาง PHATRA และ NPAT ก็ได้เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในดีลที่ 3 นอกจากนั้น ทั้ง 4 สถาบันยังร่วมเป็น UNDERWRITER และ CO-ORDINATOR ให้กับทั้ง 3 ดีล ซึ่งผลประโยชน์ทั้งหมดนี้ก็ตกต่อลูกค้าเราก็คือ เอ็มซีซี ทำให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการระดมเงินเพื่อเสริมสร้างเงินกองทุนขั้นที่ 2 ได้อย่างสมบูรณ์ โดยในปัจจุบันเอ็มซีซีมีเงินกองทุนรวมที่สูงอยู่แล้ว โดยมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 11% (เป็นตัวเลขเดียวกับ TIER1 เนื่องจาก MCC ไม่เคยออก SUB DEBT มาก่อน) และเมื่อมีส่วนของ SUB DEBT จำนวน 500 ล้านบาทเข้าไปก็จะส่งผลให้อัตราส่วนดังกล่าวนี้สูงขึ้นเป็นประมาณ 12% นอกจากนั้น การระดมทุนด้วยวิธีนี้ยังช่วยกระจายฐานลูกค้าของเอ็มซีซีออกไปอีกด้วย" นิติกรกล่าว

นับได้ว่า ไทยทนุกับ FIN1 สามารถแสดงผลงานจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้อย่างงดงาม ดีลนี้เป็นเพียงดีลเริ่มต้นของทั้ง 2 สถาบัน ซึ่งคิดว่ายังมิได้หยุดเพียงแค่นี้

"ในอนาคต เรากับ FIN1 ก็ยังคงทำงานเคียงคู่กันไป แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ทำงานร่วมกับคนอื่น ไทยทนุเปิดกว้างเสมอ เพียงแต่ FIN1 จะเป็น PARTNER ที่เราพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ" นิติกรกล่าว

สำหรับจุดแข็งที่ FIN1 จะเข้ามาเสริมให้สายงานวาณิชธนกิจของไทยทนุก็เป็นเรื่องของการจัดโครงสร้างของดีลและการกระจายการจำหน่าย โดยเฉพาะส่วนของตราสารหนี้ ซึ่งนิติกรยอมรับว่า ไทยทนุยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ

"การมีใบอนุญาตที่ปรึกษาทำให้ไทยทนุสามารถทำงานได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาในการออกตราสารหนี้ ตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ซึ่งแน่นอนความยากง่ายของแต่ละตราสารต้องประสบอยู่แล้ว เราก็ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจพอสมควร เราคิดว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว หนทางข้างหน้ายังสดใส ในอนาคตเราคงได้จับดีลที่ใหญ่กว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราได้ FIN1 หนึ่งใน BIG PLAYER ของตลาดตราสารหนี้บ้านเรามาเป็นกำลังสำคัญ เราเชื่อว่าเราทำได้ดีแน่นอน" นิติกรกล่าวอย่างมั่นใจ

ไทยทนุประกาศปี 2000 เป็นแบงก์พาณิชย์ชั้นดี ติดอันดับ TOP FIVE ของเมืองไทย

"เมื่อปี 1994 ไททนุได้วาดฝันไว้ว่า เราจะต้องเป็นธนาคารขนาดเล็กที่ดีที่สุดให้ได้ภายในปี 1997 โดยในอดีตไทยทนุมีสินทรัพย์ประมาณ 50,000 ล้านบาท ในขณะที่เราตั้งเป้าไว้ที่ 120,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นปีที่ผ่านมาปรากฏว่า ไทยทนุมีสินทรัพย์สูงถึงเป้าที่ตั้งไว้แล้ว เท่ากับว่าแผนที่เราวางไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้วนั้นได้บรรลุผลสำเร็จเร็วกว่าระยะเวลาที่ตั้งไว้ 1 ปี

นอกจากนั้น เรายังตั้งเป้าไว้ว่า คุณภาพของสินเชื่อเราต้องดี…นั่นคือสิ่งที่เราพูดไว้ตั้งแต่ปี '94 ซึ่งก็สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลังของปี '95 ที่ไม่ดีเท่าที่ควร ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ชาวต่างชาติเริ่มมีการพูดถึงคุณภาพสินเชื่อ แต่เรากลับไม่กังวล เพราะเราเตรียมการมาก่อนหน้านั้นแล้วด้วยการรักษาคุณภาพของสินเชื่อและสินทรัพย์ของเราให้อยู่ในระดับ TOP3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งเราก็สามารถทำได้" ผู้บริหารหนุ่มกล่าวอย่างภูมิใจ และเขาเชื่อว่า ณ วันนี้ ไทยทนุได้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อปี 1995 แล้ว

"ก้าวต่อไปของไทยทนุจะไม่ได้เป็นการพูดถึงธนาคารขนาดเล็กที่ดีที่สุดอีกต่อไปแล้ว แต่เรากำลังพูดถึงการเป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำของประเทศไทย ซึ่งแผนปี 2000 เรื่องขนาดจะไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปแล้ว แต่เราจะก้าวเข้าสู่เรื่องของประสิทธิภาพในการทำงาน เรื่องบุคลากร เรื่องเทคโนโลยีที่จะกลายมาเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการให้บริการกับลูกค้าของเรา

ระบบโครงสร้างขององค์กรเราจะต้องกะทัดรัด และสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ภายใต้ต้นทุนที่ต่ำ ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปี 2000 ชื่อของธนาคารไทยทนุจะติดอันดับ 1 ใน 5 ของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของไทย" นี่คือแผนของธนาคารไทยทนุที่จะเดินต่อไปนับจากนี้

ทั้งนี้ ธนาคารไทยทนุได้มีการดำเนินการตามแผนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี '95 เป็นต้นมา พร้อมทั้งล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว ธนาคารได้ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 910 ล้านบาท เป็น 2,550 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 164 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท เพื่อจัดสรรให้แก่บุคคลและนักลงทุนประเภทสถาบันแบบเจาะจง (PRIVATE PLACEMENT) จำนวน 34 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 140 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 4,760 ล้านบาท และจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมอีก 125 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1:1 ในราคาหุ้นละ 10 บาท พร้อมทั้งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5 ล้านหุ้นสำรองไว้สำหรับรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกให้แก่กรรมการและพนักงานของธนาคาร

"การเพิ่มทุนครั้งนี้ จะทำให้ธนาคารไทยทนุมีเม็ดเงินเข้ามาประมาร 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฐานกองทุนของธนาคารใหญ่ขึ้น และเป็นไปตามเป้าที่กล่าวข้างต้นนั้นเอง" นิติกรชี้แจง พร้อมทั้งคาดการณ์ว่า

"ผลการดำเนินงานในปีนี้จะต้องดีกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน เพราะเป็นผลพลอยได้จากการเพิ่มทุนในปีที่ผ่านมา ซึ่งเราอาจไม่ต้องเพิ่มทุนอีกเลยใน 2 - 3 ปีข้างหน้า"

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี '95 ที่ผ่านมา ปรากฎว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 271.172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี '94 ที่อยู่ที่ 224.883 ล้านบาท และมีขนาดของสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 114,876.121 ล้านบาท จากไตรมาสเดียวกันของปี '94 ที่อยู่ที่ 80,780.380 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 42.2%

ขณะที่มียอดสินเชื่อรวม 94,321.299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี '94 ที่มียอดสินเชื่ออยู่ที่ 67,573.979 ล้านบาท และมียอดเงินฝากทั้งสิ้น 75,335.238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.6% จากไตรมาสเดียวกันของปี '94 ที่มียอดเงินฝากรวม 59,001.780 ล้านบาท

"สาเหตุที่ผลการดำเนินงานของเราค่อนข้างดีในช่วงปีที่ผ่านมาก็เนื่องจากว่า เรามีการวางแผนจัดสำรองเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมทั้งในช่วงที่ภาวะตลาดปกติและผันผวน โดยการเพิ่มทุนครั้งล่าสุดนี้เองที่ทำให้ธนาคารมีเงินทุนมากเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในปี '97 ได้อย่างมั่นคง" ผู้บริหารหนุ่มแห่งไทยทนุกล่าวย้ำอย่างมั่นใจ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.