ถึงทีของซันบ้าง ปี 2543 NC จะโค่น PC

โดย กุสุมา พิเสฏฐศลาศัย
นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

การเติบโตของ ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ก้าวย่างไปพร้อม ๆ กับคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่ายที่ผู้คนให้ความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิเคราะห์จาก IDC ให้ความเห็นว่า ระบบเครือข่ายจะไปได้เร็วแค่ไหนอยู่ที่การแพร่หลายของเทคโนโลยี JAVA ซึ่งขณะนี้ ซันฯ เร่งปูพรมให้คนรู้จัก JAVA มากขึ้นในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะแถบเอเชียใต้ซึ่งยอดขายพุ่งกระฉูดปีละ 2-3 เท่าตัว เป็นที่เชื่อกันว่าในปี 2543 มูลค่าตลาดรวมคอมพิวเตอร์เครือข่ายจะแซงหน้าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล

การปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์ของบริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ทำให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับระบบเครือข่ายมากขึ้น ซันใช้ภาษาจาวาเป็นหัวหอกในการบุกทะลวงป้อมปราการของตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งไมโครซอฟท์ และอินเทลครองตลาดอยู่กว่า 80% โดยตั้งความหวังในระยะเริ่มต้น คือ ขอแค่แบ่งเค้กของ 2 ยักษ์ใหญ่นี้บ้างก็พอ แต่จะขอแบ่งไปเรื่อย ๆ จนไม่เหลือเค้กให้ใครหรือไม่นั้นยังเป็นอนาคต

เกมการแข่งขันในวงการคอมพิวเตอร์มีสีสันมากขึ้น เมื่อทุกฝ่ายเริ่มตื่นตัวและพร้อมจะเล่นเกมด้วย ไมโครซอฟท์ อินเทล คอมแพค เดล และเดค จับมือกันประกาศขอลงสนามของคอมพิวเตอร์เครือข่าย (Network Computer / NC) ด้วย โดยการประกาศถึงโครงการ NETPC หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครือข่ายราคาถูก ซึ่งนับเป็นการพลิกตัวที่รวดเร็วไม่น้อย แต่สำหรับสินค้าที่จะออกมาอวดโฉมกันนั้น ยังไม่มีการเปิดเผยเรื่องราคาและคุณสมบัติอื่น ๆ ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไป

ในขณะที่ ซัน ออราเคิล ไอบีเอ็ม และผู้ผลิตรายอื่นต่างก็อ้างว่าเครื่อง NC ของตนมีจุดเด่นตรงที่ราคาถูกกว่า เสียค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า และใช้งานง่ายกว่า ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างผู้บริโภค คือ ผู้ตัดสินใจ

สำคัญที่จุดยืน

ไม่ว่าสนามของคอมพิวเตอร์เครือข่ายจะมีคนลงมาเล่นมากน้อยแค่ไหน จะเป็นลักษณะอย่างไร จุดสำคัญคือเรื่องจุดยืน ความชำนาญและการฟิกซ้อมของแต่ละฝ่าย

นักกีฬา ย่อมมีเลือดนักกีฬาวันยังค่ำ แต่การเล่นกีฬาที่ถนัดย่อมมีโอกาสชนะคนที่ไม่ถนัดมากกว่า วิถีทางเดียวที่นักฟุตบอลจะมาแข่งบาสเกตให้ชนะ คือ การฟิตซ้อมให้มากกว่าเจ้าสนามเดิมและมีทีมเวิร์กที่ดี แต่ก็ต้องระวังเสียแชมป์ในกีฬาที่ตนมีเวลาเอาใจใส่น้อยลงด้วย การทุ่มงบวิจัยและพัฒนาของบริษัทคอมพิวเตอร์แต่ละแห่งคงจะพอตอบคำถามได้ว่า บริษัทเหล่านี้ตั้งใจพัฒนาฝีมือกันแค่ไหน

ย้อนกลับมาดูที่ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ตลอดเวลา 14 ปีที่ผ่านมา นับแต่การก่อตั้งบริษัท ซัน ประกาศวิสัยทัศน์ว่า "ระบบเครือข่าย คือ คอมพิวเตอร์" โดยเชื่อมั่นว่า การทำงานของคอมพิวเตอร์ควรจะติดต่อสือ่สารกันได้โดยตรง เหมือนกับการทำงานของมนุษย์ผู้ที่นั่งควบคุมอยู่หน้าจอของมัน

แต่หากดูไปให้ลึกอีกสักนิดจะพบว่า สินค้าที่ซันมีอยู่ 5 ชนิด คือ เวิร์คสเตชั่น เซิร์ฟเวอร์ สินค้าบริการ ซอฟต์แวร์ และสปาร์ค เทคโนโลยี สินค้าเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับระบบเครือข่ายทั้งสิ้น

วิสัยทัศน์ทำให้เกิดสินค้า หรือสินค้าคือที่มาของวิสัยทัศน์คงไม่สำคัญนัก แต่เมื่อมีวิสัยทัศน์ที่ถูกต้องและมีการพัฒนาสินค้าที่สอดคล้องกัน นั่นคือเป้าหมายและจุดยืนว่าซันกำลังอยู่ในสนามอะไร เล่นกีฬาอะไร

หลังเปิดตัวจาวา ซันยอดขายพุ่งกว่า 30%

จากงบการเงินของซัน ไมโครซิสเต็มส์ พบว่า ซันมียอดขายในปีงบประมาณ (1 ก.ค. - 30 มิ.ย.) ของปี 2537 2538 และ 2539 เท่ากับ 4,690 5,902 และ 7,905 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ หรือคิดเทียบกันปีต่อปีแล้ว ซันมีอัตราการเติบโตในปี 2538 เท่ากับ 26% และปี 2539 เท่ากับ 34% โดยมีส่วนต่างของกำไรสุทธิต่อยอดขาย (Net profit margin) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จาก 4.2% ในปี 2537 เป็น 6.0% และ 6.7% ในปีต่อ ๆ มา

และสำหรับไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2540 (ก.ค. - ก.ย. 39) ซันมียอดขาย 1,859 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงกว่าในไตรมาส 1 ปี 2539 เท่ากับ 25% โดยมีกำไรต่อหุ้น (Earning per share) เท่ากับ 0.63 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น

ซันมีตัวเลขยอดขายที่เติบโตขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีเพิ่มขึ้นค่อนข้างต่อเนื่องเช่นกัน อย่างไรก็ดี ในปีงบประมาณ 2539 ซันมียอดขายที่เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สูง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบูมของภาษาจาวา ซึ่งเป็ตจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ให้เข้ามาสู่ระบบเครือข่ายมากขึ้น ทั้งนี้หลังจากการประกาศตัวของจาวาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2538 มานั้น ราคาหุ้นของซันได้ทะยานขึ้นกว่า 3 เท่าตัวแล้ว

ปัจจุบันโปรแกรมเมอร์กว่า 300,000 คน กำลังขะมักเขม้นในการสร้างและพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษาจาวา ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 3 เดือนก่อนถึง 100% ในสหรัฐอเมริกา มีหนังสือเกี่ยวกับจาวากว่า 150 ไตเติ้ลวางขายอยู่ในตลาดขณะนี้ เหตุที่ผู้คนให้ความสนใจกับภาษาจาวามาก เนื่องจากเป็นภาษาที่ง่าย และค่อนข้างปลอดภัยนั่นเอง

สำหรับยอดผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั่วโลกขณะนี้มีอยู่ประมาณ 128 ล้านคน และมีอัตราการขยายตัวถึงปีละ 128 ล้านคน และมีอัตราการขยายตัวถึงปีละ 42% โดยมีการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์มากกว่า 12.8 ล้านเครื่องใน 175 ประมาณทั่วโลก

ซันลุยเอเชียใต้ ปูพรมให้คนรู้จักจาวาก่อน

ตลาดที่กำลังโตอย่างเอเชีย ดูเหมือนจะเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะจากซีกโลกตะวันตก ซึ่งเศรษฐกิจอยู่ในขั้นอิ่มตัวแล้ว คนเหล่านี้ต่างนำธุรกิจมากกมายและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชีย และแน่นอนธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็เช่นกัน

ไลโอเนล ลิม กรรมการผู้จัดการซัน ไมโครซิสเต็มส์ ประจำภูมิภาคเอเชียใต้ กล่าวว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้มีอัตราการเติบโตที่สูงมากอย่างต่อเนื่องและคาดว่าในปี 2540 นี้ ยอดขายในส่วนของเอเชียใต้จะเติบโตประมาณ 2-3 เท่าตัว

ลิม กล่าวว่า การขยายตัวของยอดขายเฉพาะในภูมิภาคนี้สำหรับปีงบประมาณ 2539 เทียบกับปีงบประมาณ 2538 เพิ่มขึ้นถึง 69% โดยเป็นส่วนของเอ็นเตอร์ไพร์ส เซิร์ฟเวอร์เติบโต 40% และเน็ตตร้าอินเตอร์เน็ต เซิร์ฟเวอร์ ยูนิตเติบโตขึ้น 130%

เขามองว่า สินค้าสำคัญที่จะสามารถขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อไปในภูมิภาคนี้คือ เอ็นเตอร์ไพร์ส เซิร์ฟเวอร์ระดับสูง เน็ตตร้า อินเตอร์เน็ต เซิร์ฟเวอร์ และจาวาสเตชั่น พร้อมทั้งตั้งเป้าว่า ในปี 2543 ซันจะมีอัตราการเติบโตของยอดขายโดยเฉลี่ยประมาณ 50% และสามารถทำรายได้จากภูมิภาคเอเชียใต้ได้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของซันแบ่งตามภูมิภาคจะมาจากสหรัฐอเมริกาประมาณ 45% ยุโรป 23% ภูมิภาคอื่น ๆ อีก 32%

จากการวิจัยของอินเตอร์เนชั่นแนลดาต้า คอร์เปอร์เรชั่น (IDC) พบว่า มูลค่าตลาดไอทีรวมในภูมิภาคเอเชีย/แปซิฟิก ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นมีการขยายตัวที่รวดเร็วมาก และคาดการณ์ว่าในปี 2540 มูลค่าตลาดรวมไอทีจะประมาณ 51,900 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2543 จะโตเป็น 86,800 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ปี 2539 นี้คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น หรือเทียบเป็นอัตราการขยายตัวต่อปีเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2538 - 2543 เท่ากับ 20.3%

เดนนิส ฟิลบิน รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการของ IDC เอเชีย/แปซิฟิก กล่าวถึงแนวโน้มสำคัญของภูมิภาคนี้ในช่วง 2540 - 2543 ว่า ตลาดจะยังเป็นของเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและเซิร์ฟเวอร์ ส่วนโอกาสของตลาดอินเตอร์เน็ตจะเริ่มเข้ามาอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป

เขามองว่า อัตราการเติบโตเฉลี่ยของตลาด PC นับตั้งแต่ปี 2538 - 2543 จะเท่ากับ 23.5% โดยในปีนี้จะขยายตัวประมาณ 27.6% และในปี 2543 โครงสร้างของตลาด PC จะมีการเปลี่ยนแปลงโดยกระจายตัวไปตามบ้านเรือนมากขึ้น ซึ่งอาจจะแบ่งโครงสร้างได้เป็นครัวเรือน 30% ธุรกิจขนาดกลาง 21% ธุรกิจขนาดใหญ่ 17% ธุรกิจขนาดเล็ก 14% ภาคการศึกษา 7% ภาคราชการ 6% และบริษัทขนาดเล็ก 5%

ลิม กล่าวถึงการขยายตัวของซันในภูมิภาคเอเชียใต้ว่า "สิงคโปร์มีอัตราการเติบโตถึง 110% รองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ 100% มาเลเซีย 65% ส่วนไทยโต 45% ซึ่งเป็นสองเท่าของตลาดไอทีรวมในประเทศไทยที่โตขึ้น"

ประเทศที่ลิมสนใจอยู่ในขณะนี้ คือ เวียดนาม ซึ่งซันเพิ่งเข้ามาเปิดตลาดไปได้ไม่นานนัก เหตุผลสำคัญ คือ เวียดนาม เป็นศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในปี 2538 รายได้ประชาชาติของเวียดนามขยายตัวถึง 10% ส่วนในปีนี้มีการปรับตัวลดลงบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในระดับ 8 - 10%

อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีปัญหาในเรื่องสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นเนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามมีโครงการขยายถนนหลายสาย สร้างท่าเรือ และระบบโทรคมนาคม ซึ่งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการเหล่านี้จะเป็นส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เวียดนามได้มากในอนาคต

ในส่วนของประเทศไทยนั้น ยังคงติดปัญหาในเรื่องของค่าบริการอินเตอร์เน็ตซึ่งค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ลิมเชื่อว่าผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในไทย (ISP) จะมีการผลักดันให้ภาครัฐลดค่าบริการลงได้ในไม่ช้านี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มยอดขายของซันในเมืองไทยต่อไป

สิ่งสำคัญที่เขาต้องเร่งทำในขณะนี้ก็คือ การประชาสัมพันธ์ให้คนในภูมิภาคเอเชียรู้จักเทคโนโลยีของจาวา "ในปีนี้ IDC พูดกันมากถึงการเติบโตของตลาด PC ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ปี 2523 ขณะที่เห็นว่าตลาดเมนเฟรมกำลังตายลง ผมเชื่อว่า คนที่จะเข้ามาแข่งขันต่อไปจำเป็นที่จะต้องมีเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีของจาวา ยิ่งเราทำให้คนทั่วไปรู้จักเทคโนโลยีของจาวาเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น" ลิมสรุป

แน่นอนการเผยแพร่ให้ผู้คนรู้จักเทคโนโลยีของจาวานั้น ซันทำมาโดยตลอดนับแต่วันแรกที่ประกาศภาษาจาวาให้ทั่วโลกได้รู้จัก แต่แนวทางสำคัญที่ซันจะทำในอนาคต คือ การสร้างศูนย์ข้อมูลในการเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ด้วย

การเผยแพร่ข้อมูลจะเป็นการดึงดูดให้คนเข้ามาใช้เทคโนโลยีของจาวา ซึ่งก็หมายถึงการขายสินค้าได้มากขึ้น เพิ่มยอดขาย และผลกำไรให้แก่บริษัทในที่สุด

สำหรับเทคโนโลยีของจาวาที่ประกาศเปิดตัวมาอย่างต่อเนื่องนั้น โดยมีภาษาจาวาเป็นหัวหอกตามด้วย ระบบปฏิบัติการจาวา (จาวาโอเอส) จาวาชิพ จาวาเทรนนิ่ง จาวาเวิร์กชอฟ จาวาบีน และที่เปิดตัวล่าสุด คือ จาวาสเตชั่น

ซันได้วางเป้าหมายว่า เทคโนโลยีของจาวาจะเข้าถึงผู้ใช้ประมาณ 25 ล้านคนในปี 2540 เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากบริษัทชั้นนำในวงการคอมพิวเตอร์ โดยการยอมรับจาวาเป็นมาตรฐานภาษาโปรแกรม เช่น แอปเปิล ฮิวเลตต์แพคการ์ด ฮิตาชิ ไอบีเอ็ม ไมโครซอฟต์ โนเวล ชิลิ คอนกราฟฟิก ดิจิตอลอีควิปเมนท์คอร์เปอร์เรชั่น ออราเคิล เป็นต้น

ปี 2543 ระบบเครือข่ายจะชนะ PC

ปี พ.ศ. 2543 หรือปี ค.ศ. 2000 เป็นปีที่ธุรกิจแทบทุกชนิดตั้งเป้าถึงการเปลี่ยนแปลงมากมาย สำหรับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจคอมพิวเตอร์ก็คงไม่แตกต่างเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ซัน ไมโครซิสเต็มส์ได้ประกาศเปิดตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เครือข่าย หรือ NC อย่างเป็นทางการในสหรัฐอเมริกา

สก็อตต์ แมคนิลลีย์ หัวหน้าคณะผู้บริหารของซัน กล่าวในงานแถลงข่าวว่า "วันนี้ล่ะ ที่คุณจะได้เข้าใจว่าทำไมระบบเครือข่าย คือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งมันเป็นมาตั้งแต่ปี 2527 แล้ว"

ซัน อ้างว่า ระบบ NC ของตนมีจุดเด่นที่ราคาถูก เสียค่าบำรุงรักษาน้อย และใช้งานได้ง่าย จาวาสเตชั่นจะเริ่มวางตลาดในเดือนธันวาคมนี้โดยมีราคาต่ำสุดเพียง 742 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกกว่าเครื่อง PC โดยทั่วไปไม่น้อยกว่า 25%

ลิม อธิบายว่า "ขณะนี้คลื่นของจาวาสเตชั่นบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะในองค์กรขนาดใหญ่ จากการสำรวจของเราพบว่า ในองค์กรใหญ่ ๆ มีการใช้ PC แต่ละเครื่องเพียง 10-20% ของความสามารถทั้งหมดของมันเท่านั้น"

เขายกตัวอย่างถึงพนักงานประจำเคาน์เตอร์ในธนาคาร (เทลเลอร์) ซึ่งจะใช้ PC เพียงเพื่อตรวจเช็กข้อมูล และป้อนข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ PC สามารถทำอะไรได้อีกมากมาย แต่ธนาคารทั้งหลายที่ต้องการระบบอัตโนมัติก็ไม่มีทางเลือก จึงต้องซื้อเครื่อง PC ซึ่งมีราคาแพงมาใช้ในงานเหล่านี้ด้วย

"จาวาสเตชั่น คือ ทางเลือกใหม่" ลิม กล่าวสรุป

จาวาสเตชั่น หรือเครื่องลูกข่าย มีรูปร่างเป็นกล่องสีเทาดำ ขนาด 9x12 นิ้ว ไม่มีช่องใส่แผ่นดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ สลอตและอื่น ๆ การทำงานของมันจะใช้วิธีการดึงโปรแกรมผ่านระบบเครือข่ายภายใน เช่น เซิร์ฟเวอร์ หรืออินเตอร์เน็ตมา
ระบบภายในของจาวาสเตชั่นจึงไม่ซับซ้อนนัก เพราะไม่จำเป็นต้องมีหน่วยความจำมาก ๆ มีความสามารถสูง ๆ เนื่องจากทุกอย่างสามารถดึงมาจากเครือข่ายได้ การเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องก็ทำเพียงจุดเดียวที่เซิร์ฟเวอร์เท่านั้น จึงทำให้จาวาสเตชั่นมีราคาถูก อัพเกรดได้ง่าย

ซึ่งในจุดนี้เองทำให้องค์กรที่มีการแข่งขันสูง และจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้าช่วย มีโอกาสที่จะปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีของตนให้ทันสมัยขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้จ่ายสูงนัก

ซันเองไม่ได้คาดหวังว่า จาวาสเตชั่นจะสามารถติดตลาดได้ในเร็ววัน แต่หากเชื่อว่าจะโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยข้อมูล IDC ในสหรัฐอเมริกามองว่า อาจจะใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการตีตลาดเครื่อง PC พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าอนาคตของเครื่อง NC นี้ขึ้นอยู่กับการแพร่หลายของเทคโนโลยีจาวาด้วย

สิ่งที่ซันมองมิใช่เพียงการสร้างตลาด NC จากผู้ใช้คอมพิวเตอร์กลุ่มใหม่ ๆ เท่านั้น แต่ซัน มองไปถึงตลาดทดแทนด้วย

ไตรรัตน์ ใจสำราญ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ลอจิก จำกัด ดีลเลอร์ของซัน กล่าวว่า เครื่อง เวิร์กสเตชั่น เซิร์ฟเวอร์ PC และดัมป์เทอร์มิเนล มากมายกำลังล้าสมัย ซึ่งซันประเมินว่าจะมีประมาณ 30% ซึ่งรวม ๆ แล้วนับล้านเครื่องต่อปี "ซันไม่ได้หวังเอาทั้งหมดหรอก ขอแค่ส่วนหนึ่งก็พอ"

จากคุณสมบัติของจาวาสเตชั่น ที่ว่าราคาถูก บำรุงรักษาง่าย ใช้ได้ง่าย ประกอบกับกระแสการต่อเชื่อมคอมพิวเตอร์ให้เป็นระบบเครือข่าย ซึ่ง IDC คาดว่าจะเริ่มต้นอย่างจริง ๆ ในปี 2543 ทำให้ผู้บริหารของซันมองว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงตลาดจะเป็นของ NC มากกว่าที่จะเป็นของ PC อย่างทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2543 ตลาดจะเปลี่ยนมาเป็นของ NC อย่างที่ใคร ๆ คาดคิด แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าทั้งหมดหรือส่วนใหญ่จะเป็นตลาดของซัน ไมโครซิสเต็มส์ ณ วันนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ต่างมองเห็นจุดนี้ด้วยกันทั้งนั้น และทุกค่ายต่างเตรียมตัวที่จะเข้ามาแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดตรงนี้ ซันอาจจะได้เปรียบในแง่ของผู้ที่เห็นหนทางก่อน และเดินนำหน้าไปแล้วพร้อมกับเทคโนโลยีจาวาซึ่งทำให้เดินได้เร็วขึ้น แต่มิได้หมายความว่า ซันจะถึงเส้นชัยก่อนเสมอไป



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.