"ประวิทย์ จิตนราพงศ์ ควบ 2 ความต่าง "ไอที & ร้านอาหาร" ด้วยบริการ"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

"กาแฟเย็น แบล็คแคนยอน เป็นกาแฟที่นำเข้าจากต่างประเทศ 100% แต่ถ้าเป็นกาแฟร้อน จะเป็นกาแฟผสมระหว่างกาแฟไทยกับกาแฟนำเข้า เพราะกาแฟที่ปลูกในไทยก็ถือเป็นกาแฟที่ส่งออกรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ส่งจากโครงการต่างๆ ทั้งเหนือและใต้ผสมกัน กาแฟหลักที่ใช้เป็นตัวผสมคือโรกัสตา เพราะมีเมล็ดใหญ่ คั่วแล้วหอม และรสชาติเข้มข้น สูตรพวกนี้เองมาจากต่างประเทศ จากอเมริกาเป็นหลัก เพราะเป็นสไตล์อเมริกันคันทรี่ ยกเว้นกาแฟเวียงพิงค์ มีการนำมาคัดเมล็ดเป็นสูตรอาราบิก้า เวียงพิงค์ เพราะคนไทยชอบอะไรที่หวานมัน"

ประวิทย์ จิตนราพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทแบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงกาแฟได้อย่างคล่องแคล่ว

แต่ถ้าเป็น 4 ปีกว่าก่อนหน้านี้ ประวิทย์คงพูดเรื่องกาแฟมากไม่ได้เท่านี้ เพราะธุรกิจที่เขาทำอยู่เดิมคือธุรกิจไอที ในชื่อบริษัทโปร-ลายน์ จำกัด มีบริษัทที่ดูแลอยู่แล้วในธุรกิจไอทีถึง 7 บริษัท และทุกบริษัทก็ดำเนินธุรกิจด้านซอฟต์แวร์ต่างๆ เท่านั้น ทำให้ในขณะนั้นคงไม่มีใครคิดว่าคนที่ทำธุรกิจไอที จะมาไยดีอะไรกับธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารมากนัก

"ประมาณ 4 ปีที่แล้ว ผมอยากจะเปิดร้านกาแฟก็มองหา แล้วก็มาสนใจแบล็คแคนยอน ซึ่งขณะนั้นมีสาขาแรกที่เชียงใหม่ ซึ่งยังไม่มีระบบ และการขยายงาน แต่มีการเสิร์ฟกาแฟที่อร่อยก็เลยติดต่อเจ้าของเดิม คือ คุณสิงโต แล้วซื้อกิจการมาพัฒนาเป็นแฟรนไชส์และเพิ่มรายการอาหารเข้าไป ทั้งไทย ตะวันตก ตะวันออก" ประวิทย์เล่าคร่าวๆ ถึงการสนใจซื้อกิจการแบล็คแคนยอนเข้ามาเป็นบริษัทที่ 8 ในกลุ่มบริษัทโปร-ลายน์ ซึ่งแตกต่างจากธุรกิจเดิมไปคนละเรื่อง

เรียกได้ว่าประวิทย์เข้ามาในธุรกิจอาหารเพียงแค่อยากมีร้านกาแฟเป็นของตัวเองเท่านั้น แต่เมื่อกิจการที่ซื้อมาเป็นร้านอาหาร ทำให้ประวิทย์ซึ่งไม่รู้เรื่องธุรกิจอาหารมาก่อนต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่

จากเดิมที่ประวิทย์มองเห็นว่า ธุรกิจทั้ง 2 เป็นเรื่องที่แตกต่างกันมาก เพราะธุรกิจไอที เป็นเรื่องที่ผู้ขายผู้ให้บริการต้องเป็นฝ่ายเข้าไปหาลูกค้าและลูกค้าที่พบก็เป็นลูกค้าระดับบริหาร ในขณะที่ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่ลูกค้าจะเข้ามาหาผู้ให้บริการ แต่กลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มคนทุกระดับ แต่ยังไม่ทันเกิดปัญหา ก็เป็นโชคดีของประวิทย์ที่มองออกแล้วว่า

"สิ่งที่เหมือนกัน และคิดว่าทำให้ผมประสบความสำเร็จ ก็คือการที่รู้ว่าทั้ง 2 ธุรกิจเหมือนกันตรงที่เป็นธุรกิจบริการ ก็เอาหัวใจบริการมาใช้ได้เหมือนกัน จะต่างกันแค่ผลิตภัณฑ์"

ประวิทย์ยังพูดถึงข้อแตกต่างของธุรกิจทั้งสองอย่างว่าธุรกิจไอทีจะหนักกว่าร้านอาหาร เพราะมูลค่าสูงเงินทุนก็สูง แต่ธุรกิจร้านอาหารลูกค้าเป็นฝ่ายเดินมาหา และยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัว ลงทุนสูงเพียงในระยะแรก แต่มีเงินสดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ

ที่สำคัญธุรกิจอาหารก็มีข้อดีสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจแย่ ทุกธุรกิจแย่ แต่ธุรกิจอาหารแต่ละปียังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณปีละ 20-25% เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะคนไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็น "นักบริโภค" ก็เป็นได้

ก่อนหน้าที่จะทำธุรกิจอาหาร ประวิทย์เคยเริ่มต้นเป็นเจ้าของกิจการเองครั้งแรกเมื่อปี 2532 โดยตั้งบริษัทโปร-ลายน์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายมินิคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม จากที่ก่อนหน้านั้นเขาเป็นลูกจ้างมากว่า 10 ปี โดยได้รับความช่วยเหลือจาก ดร. ทนง พิทยะ ซึ่งประวิทย์ถือเป็นอาจารย์คนหนึ่งของเขา และมีตำแหน่งเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของกลุ่มโปร-ลายน์ด้วย

นับจากวันนั้นประวิทย์ก็ขยายงานโปร-ลายน์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์แวร์ที่จะใช้ในธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ จนมีบริษัทในเครือตอนนี้รวมแบล็คแคนยอนด้วยแล้วก็ 8 บริษัทด้วยกัน มีรายได้รวมทั้งกลุ่มประมาณ 400 ล้านบาท ในปี 2539 ที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมายปี 2540 ไว้ที่ 650 ล้านบาท เพราะเชื่อว่านวัตกรรมใหม่ๆ ในเรื่องของเทคโนโลยีจะยังเติบโตอีกมาก ส่วนรายได้ที่จะได้จากธุรกิจร้านอาหารแบล็คแคนยอนคาดว่าจะมีประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมด

"ปัจจุบันสถิติการดื่มกาแฟของคนไทยประมาณวันละ 1 แก้วเท่านั้น ในขณะที่สิงคโปร์ดื่มวันละ 3-4 แก้ว และ 5-6 แก้วในอเมริกา ดังนั้นกาแฟซึ่งเป็นพระเอกของร้านแบล็คแคนยอนก็มีโอกาสขยายตัวได้มาก ซึ่งเราก็มีแผนจะคิดสูตรใหม่ที่เน้นกาแฟเอสเปรสโซ และคาปุชชิโน เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้เช่นเดียวกับแผนการผลิตกาแฟกระป๋องที่ยังต้องศึกษาเพิ่มเติมอีก เพราะรสชาติที่ลงกระป๋องยังไม่ได้รสชาติเดียวกับที่ดื่มกาแฟสดๆ อย่างที่ต้องการ" ประวิทย์ กล่าว

การขยายแฟรนไชส์ของแบล็คแคนยอน ภายหลังจากที่ประวิทย์ทำแบล็คแคนยอนเป็นระบบ ตั้งแต่เริ่มขายสาขาแรกเมื่อต้นปี 2537 จนถึงวันนี้ทั้งประเทศมีสาขารวม 40 สาขา ครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และ 30 สาขาหลังเป็นสาขาที่ขยายภายหลังจากประวิทย์เข้ามาบริหาร เป็นสาขาที่บริษัทบริหารเอง 6 สาขา

"ปีนี้เราก็ตั้งเป้าที่จะขยายเพียง 10 สาขา เพราะเราต้องการควบคุมคุณภาพร้าน โดยค่าแฟรนไชส์ปัจจุบัน 4 แสนบาท ซึ่งถือเป็นค่าแฟรนไชส์ที่ถูกที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์ร้านอาหาร การขยายสาขาจะเน้นไปตามศูนย์การค้า เช่น เครือเซ็นทรัล เดอะมอลล์ โดยจะให้โอกาสแฟรนไชส์ก่อน ถ้าไม่มีผู้บริหารก็จะเข้าไปลงทุนบริหารเอง เพราะการเปิดร้านในห้างมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่แพง" ประวิทย์ กล่าว

พื้นที่ที่เหมาะกับร้านแต่ละประเภท ถ้าเป็นมุมกาแฟพื้นที่ควรจะประมาณ 25-50 ตร.ม. ใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 3 แสนบาท ร้านอาหารขนาดเล็ก พื้นที่ประมาณ 50-80 ตร.ม. แต่ถ้าเป็นร้านอาหารเต็มรูปแบบ จะต้องใช้พื้นที่ตั้งแต่ 80 ตร.ม. ขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 200 ตร.ม. เพราะเงินลงทุนจะสูงเกินไป โอกาสคุ้มทุนลำบาก ส่วนเงินลงทุนสำหรับร้านอาหารจะเริ่มต้นที่ 2-5 ล้านบาท ตามขนาดพื้นที่ ทั้งนี้ไม่รวมค่าพื้นที่ ซึ่งบริษัทจะแนะนำให้เซ้งเพราะจะคุ้มกว่าเช่าเป็นรายเดือน

ส่วนลูกค้าที่จะซื้อแฟรนไชส์ บริษัทจะพิจารณาจากความตั้งใจว่าผู้ซื้อจะบริหารเองหรือจ้างคนมาบริหาร และดูเงินทุนด้วย

นับจากปี 2536 ที่ประวิทย์ซื้อกิจการมานั้น เขาได้ทำการปรับปรุงรูปแบบบริษัทให้เป็นระบบขึ้นมาก ถือเป็นแฟรนไชส์ของคนไทยเพียงไม่กี่รายที่โดดเด่นเทียบเคียงแฟรนไชส์จากต่างประเทศได้ ซึ่งประวิทย์ก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้

บริษัท แบล็คแคนยอน (ประเทศไทย) จำกัด ยังมีความคิดที่จะให้แบล็คแคนยอนเป็นแฟรนไชส์ของไทยที่จะขยายออกไปในต่างประเทศมานาน แต่ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้ เพราะการคิดค้นระบบบริหาร ต้องพัฒนาขึ้นกว่าเดิม

โดยในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าประวิทย์จะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจแฟรนไชส์จากต่างประเทศเข้ามาวางระบบบริหาร เพื่อไปแข่งกับแฟรนไชส์ต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนจากธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีสาขาทั้งในอเมริกาและเอเชีย เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงจะเริ่มขยายแฟรนไชส์ให้เฉพาะประเทศในเอเชียด้วยกันก่อน

"ตอนนี้เรายังไม่พร้อมที่จะขยายไปต่างประเทศ ทั้งที่มีแผนมานานแล้ว เพราะการจะขยายแฟรนไชส์สู่สากลได้ ระบบเราก็ต้องปรับให้เป็นสากลก่อน เช่น คู่มือต้องเป็นภาษาอังกฤษ ต้องละเอียด ข้อกำหนดที่มีต้องควบคุมคุณภาพและระบบต่างๆ ได้ดี" ประวิทย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ประวิทย์ เชื่อว่า ภายหลังจากที่พัฒนาในเรื่องระบบ ที่จะทำให้ "แบล็คแคนยอน" เป็นแฟรนไชส์ระดับสากลได้แล้ว แฟรนไชส์ไทยอย่าง "แบล็คแคนยอน" คงจะมีศักยภาพพอที่จะแข่งขันกับแฟรนไชส์ดังๆ จากต่างประเทศได้อย่างไม่น้อยหน้า

แล้วนั่น ก็น่าจะเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยได้อีกอย่างหนึ่งด้วยเช่นกัน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.