"Air France ฮึดสู้ ปรับเครื่องบินใหม่รับดีมานด์ตลาด"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2540)



กลับสู่หน้าหลัก

สายการบินแห่งชาติฝรั่งเศส หรือ Air France ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่หลังเก็บตัวเงียบเชียบมานาน คราวนี้หันมาปรับเปลี่ยนเครื่องบินใหม่จากเครื่องแอร์บัสรุ่น 340-300 มาเป็นโบอิ้งรุ่น 747-400 ซึ่งสามารถจุผู้โดยสารได้มาขึ้นกว่าครึ่ง หลังจากที่พบว่าตลาดนักเดินทางไทยมีการเติบโตสูงมากขึ้นๆ ทั้งที่เป็นนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งได้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการต่างๆ ภายในเครื่อง (in-flight product & service) เพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้โดยสารอย่างเต็มกระบวนทัพ โดยเครื่องบินรุ่นใหม่นี้ได้ฤกษ์ทะยานสู่ท้องฟ้าไปแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันปิดรอบบัญชีงบประมาณ 1996 ของแอร์ฟรานซ์ด้วย

"ตลาดเมืองไทยมีการเติบโตค่อนข้างเร็ว เราจึงตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องบินใหม่เป็นเครื่องบินโบอิ้ง 747-400 แทนแอร์บัส ซึ่งก็หมายความว่าเราสามารถบรรทุกคนได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50% เหตุผลที่เราต้องเปลี่ยนเครื่องก็เพราะว่ากำลังความสามารถของเรามีไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งมียอดการจองที่นั่ง หรือที่เรียกว่า load factors คือยอดการจองที่นั่งจากรุงเทพฯ-ปารีสเต็มตลอด โดยเมื่อปีที่แล้วมีตัวเลขการจองเกินมากถึง 80% โดยเฉพาะบางวัน อย่างวันศุกร์ยอดการจองสูงขึ้นถึง 88% ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเพิ่มกำลังความสามารถ" เบอร์นาร์ด โอเบรอตง (Bernard Aubreton) ผู้จัดการใหญ่สายการบินแอร์ฟรานซ์ ประจำประเทศไทย กัมพูชา ลาว และพม่า กล่าวถึงที่มาของการเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้แอร์ฟรานซ์มีขีดความสามารถรับผู้โดยสารในชั้น 1 ที่ตั้งชื่อใหม่ว่า เลส์ปาส 180 (L'Espace 127) 56 ที่นั่ง และชั้นประหยัดที่มีชื่อว่าเทมโป (Tempo) อีก 321 ที่นั่ง รวมทั้งหมด 390 ที่นั่ง จากเดิมที่บรรทุกได้เพียง 256 ที่นั่งเท่านั้น

สายการบินแอร์ฟรานซ์เข้ามาเปิดเส้นทางการบินในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ 64 ปีที่แล้ว ปัจจุบันให้บริการเที่ยวบินตรงจากรุงเทพฯ-ปารีส และปารีส-กรุงเทพฯ ทุกวัน นอกจากนี้ยังมีบริการบินต่อ ยังที่หมายอื่น (connecting flight) ทั่วยุโรป และไปยังฮานอย และโฮจิมินห์ อีกด้วย

ความก้าวหน้าของสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยกับยุโรปที่เริ่มคึกคักมากขึ้นหลังการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรปในไทยเมื่อปีที่แล้ว ทำให้มีนักธุรกิจไทยและยุโรปเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจระหว่างกันมาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งย่อมเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และแอร์ฟรานซ์ ผู้ซึ่งจัดตัวเองเป็นสายการบินยุโรปตามระดับการรยมตัวของกลุ่มประเทศยุโรปที่ล้ำหน้าเป็นสหภาพยุโรปในปัจจุบันก็ได้รับประโยชน์ตามไปด้วย

นอกจากนี้ มาตรฐานความเป็นอยู่ ตลอดจนถึงทัศนคต ิและรสนิยมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญของประเทศโดยหันมานิยมเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น ก็ยังช่วยเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมการบินเช่นกัน โดยเฉพาะฝรั่งเศส ถือเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวไทยที่ชื่นชอบการชอปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ

"เราพิจารณาแอร์ฟรานซ์เป็นสายการบินของยุโรปแทนที่จะเป็นเพียงสายการบินของฝรั่งเศสอย่างเดียว เพราะเราบินทั่วยุโรป โดยได้พัฒนาบริการการบินต่อไปยังจุดหมายอื่น (connecting flight) ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราได้จับมือกับสายการบินคอนติเนนตัล ของสหรัฐฯ เราพยายามที่จะจัดทำ connecting flight ให้ได้มากเท่าที่จะทำได้เพราะเป็นนโยบายหลักของเรา โดยในยุโรปคุณสามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ถึง 50 แห่งนอกเหนือจากปารีส เราไม่ใช่สายการบินที่บินเฉพาะกรุงเทพฯ-ปารีส แต่ยังไม่ถึงแฟรงเฟิร์ต และที่อื่นๆ อีก 50 แห่ง ขณะเดียวกันยุโรปและฝรั่งเศสก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวไทย ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำก็คือ การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในเครื่อง (in-flight product) ให้ดีขึ้น ซึ่งเราได้เริ่มลงมือทำมาตั้งแต่ปี 1995 แล้วไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงที่นั่งผู้โดยสารให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มความนิยมให้มากขึ้น" อดีตผู้ช่วยรองประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนที่จะเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้จัดการใหญ่ในเมืองไทยเมื่อเดือน พ.ย. 1995 เปิดเผยถึงแนวทางของแอร์ฟรานซ์

นับจากนี้ไปกลยุทธ์การตลาดของแอร์ฟรานซ์ภายใต้การดูแลของโอเบรอตงจะเน้นจับลูกค้านักธุรกิจทั้งชาวไทยและเทศเป็นสำคัญเพราะตลาดนี้กำลังขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผ่านมารายได้ของแอร์ฟรานซ์ประมาณ 45% มาจากชั้น 1 และชั้นธุรกิจ

แต่อย่างไรก็ตามแอร์ฟรานซ์ก็ไม่ละเลยตลาดนักท่องเที่ยว เพราะมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแอร์ฟรานซ์ได้มีการปรับปรุงการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้โดยสารชาวไทย โดยไม่เพียงแต่เสนออาหาร และไวน์ฝรั่งเศสเท่านั้น แต่ยังมีอาหารไทยตลอดจนถึงมีหนังสือพิมพ์-นิตยสารภาษาไทยไว้คอยบริการนักเดินทางชาวไทยทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับอีกด้วย พร้อมกันนั้นในปีนี้แอร์ฟรานซ์มีแผนจะจัดหาภาพยนตร์ไทยเพื่อเป็นการเอาใจลูกค้าคนไทยโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีโครงการที่จะจัดหาการบริการต้อนรับด้วยภาษาไทย (Welcome Service) ที่สนามบินชาร์ล เดอ โกลล์ ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้โดยสารชาวไทยในระหว่างการเปลี่ยนเครื่องที่ปารีสด้วย

นอกจานี้ แอร์ฟรานซ์ยังได้ทำการจัดตารางเวลาการบิน (schedule) ใหม่ เพื่อให้ผู้โดยสารมีความคล่องตัวในการเดินทางมากขึ้น โดยเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพฯ-ปารีส ออกเดินทางเวลา 22.50 น. ถึงปลายทางเวลา 06.00 น. ซึ่งโอเบรอตง ชี้แจงว่า เป็นความแตกต่างของแอร์ฟรานซ์เพราะสายการบินยุโรปอื่นๆ มักจะจัดเที่ยวบินในเวลาเที่ยวคืน หรือหลังเที่ยงคืนออกไป

ด้านการบริการภายในเครื่อง ผู้โดยสารจะมีอิสระเสรี (freedom & autonomy) มากขึ้นตามผลการสำรวจความต้องการของผู้โดยสารในเที่ยวบิน long flight โดยแอร์ฟรานซ์ได้ดำเนินการในชั้น 1 และชั้นธุรกิจใหม่ให้ความสะดวกสบายมากขึ้น มีพื้นที่กว้างมากขึ้น สามารถปรับเอนได้มากขึ้น ซึ่งชั้น 1 สามารถเอนได้ถึง 180 องศา ชั้นธุรกิจปรับเอนได้ 127 องศา เพื่อให้เหมาะกับความจำเป็นของนักธุรกิจที่ต้องการใช้เวลาอย่างเต็มที่ระหว่างการเดินทาง และตำแหน่ง 127 องศานี้ จากการศึกษาขององค์การนาซ่าสหรัฐฯ เป็นตำแหน่งที่พักผ่อนได้เป็นอย่างดี

"เราให้ความสำคัญกับ freedom and autonomy ด้วย โดยผู้โดยสารไม่จำเป็นจะต้องถามหาทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างการเดินทางอันยาวนาน แต่คุณจะสามารถจัดการเวลาของคุณด้วยตัวเอง เพราะเราได้จัดหาจอภาพวิดีโอส่วนตัว หูฟังที่ปลอดจากเสียงเครื่องยนต์รบกวน โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไว้ในทุกที่นั่ง ขณะเดียวกันก็เพลิดเพลินกับอาหารและของขบเคี้ยว หรือห้องสูบบุหรี่ที่จัดเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษ โดยมี smoker lounge สำหรับชั้น 1 และชั้นธุรกิจ และมี smoker area สำหรับผู้โดยสารชั้นประหยัด ทั้งนี้เราได้พัฒนาแนวคิดที่จะทำให้อากาศในห้องโดยสารสะอาด และบริสุทธิ์ โดยที่คุณไม่ต้องหยุดสูบบุหรี่เพียงแต่สูบในที่ที่จัดไว้ ซึ่งจะมีเครื่องดูดอากาศนี้ออกไปข้างนอก เราลงทุนค่อนข้างมากกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์นี้ โดยเฉพาะในไฟลท์ที่ต้องเดินทางยาวนาน" โอเบรอตง ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้เข้ามาเจาะตลาดการบินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแอร์ฟรานซ์ในยุคที่แรงกดดันจากนโยบายเปิดน่านฟ้า (open sky) กำลังแรงขึ้นทุกขณะ กล่าวถึงความสะดวกสบายที่ผู้เดินทางด้วยสายการบินแอร์ฟรานซ์ โดยเฉพาะในชั้น 1 และชั้นธุรกิจจะได้รับ

นอกเหนือจากการพัฒนา และปรับปรุงการอำนวยความสะดวกภายในเครื่องแล้ว แอร์ฟรานซ์ยังได้ชูสนามบินชาร์ล เดอ โกลล์ ฝรั่งเศสให้เป็นศูนย์กลางการบินของยุโรป (Hub) หรือเป็นประตูสู่ทวีปยุโรป ซึ่งทางแอร์ฟรานซ์ได้จัดเตรียมข้อเสนอในการต่อเครื่องไปยังที่หมายอื่นในยุโรปที่ง่าย และสะดวกเมื่อเทียบกับสนามบินอื่นๆ ซึ่งจะต้องใช้เวลานานและเดินไปต่อเครื่องเป็นระยะทางที่ไกลทีเดียว

"เราต้องการจะพัฒนาจุดนี้ให้ถึงขั้นที่ว่า คิดถึงปารีสเมื่อต้องต่อเครื่อง ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน เพราะคุณสามารถต่อเครื่องได้โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น"

ตามความคิดเห็นของโอเบรอตง การแข่งขันระหว่างสายการบินยุโรปในปัจจุบันมีความเข้มข้นมาก เพราะแต่ละสายการบินให้บริการไม่แตกต่างกันมากนัก ราคาตั๋วก็ใกล้เคียงกัน และส่วนใหญ่ก็มีเที่ยวบินทุกวัน ทว่าจุดแตกต่างนั้นอยู่ที่การให้บริการต่อเครื่องไปยังจุดหมายปลายทางอื่นที่ดี

"ถ้าคุณเป็นนักธุรกิจไทยต้องการไปยุโรป ถ้าคุณต้องการไปปารีสคุณก็เลือกแอร์ฟรานซ์ หรือการบินไทยแน่นอนเพราะเป็นบินตรง ถ้าคุณต้องการไปลอนดอนคุณมีโอกาสที่จะลือกบริติชแอร์เวย์แต่ถ้าคุณเลือกไปยังจุดหมายอื่นมีสายการบินไม่มากนักที่ให้บริการบินตรง เช่นไปเจนีวา บาเซโลน่า หรือมิลาน ดังนั้นคุณก็ต้องเลือกสายการบินที่มีการต่อเที่ยวบินที่ดี ซึ่งนี่คือจุดสำคัญ บางทีเราอาจจะต้องแข่งกับสนามบินแฟรงเฟิร์ต อัมสเตอร์ดัม หรือซูริค ที่เสนอการต่อเที่ยวบินเหมือนกัน ผมคิดว่าตอนนี้เรากำลังแข่งขันกันในเรื่องของ gateway และสายการบินยุโรปทุกสายก็เป็นคู่แข่งของเราหมด เพราะยุโรปเป็นตลาดใหญ่ในการทำธุรกิจ"

เนื่องจากแอร์ฟรานซ์เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีแผนที่จะแปรรูปให้เป็นบริษัทเอกชน (privatization) ในปี 1998 จึงทำให้การตัดสินใจหรือการเคลื่อนไหวในทางธุรกิจเป็นไปอย่างล่าช้า เมื่อเทียบกับสายการบินแห่งอื่นที่รุกคืบล่วงหน้าไปก่อนและเพื่อเตรียมการรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า โอเบรอตง จึงวางนโยบายให้ปีนี้เป็นปีแห่งการแก้ไข และปรับปรุงปัญหาต่างๆ ที่คั่งค้าง "การแปรรูปจะทำให้เรามีช่องที่จะแข่งขัน ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี เพราะสิ่งต่างๆ จะดูแปลกตาไป และยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมต่อลูกค้า และต่อพนักงาน"

ต่อแต่นี้ไปเราคงจะได้เห็นแอร์ฟรานซ์ลุยลงสู่สนามอย่างเต็มตัวและเต็มที่เสียที เพราะเค้กในตลาดไทยยังเหลืออยู่อีกโข ซึ่งโอเบรอตงในฐานะนักจัดวางกลยุทธ์คนสำคัญของแอร์ฟรานซ์ได้เตรียมความพร้อมไว้ในใจแล้ว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.