หลังจากปล่อยให้กลุ่มบิสซิเนส ซอฟท์แวร์ อะไลแอนซ์ หรือบีเอสเอ พันธมิตรธุรกิจซอฟต์แวร์นำร่องเข้ามาบุกเบิกฟาดฟันกับบรรดาซอฟต์แวร์เถื่อนกันไปแล้ว
ก็ถึงคราวของซอฟต์แวร์ พับลิชเชอร์ แอสโซซิเอชั่น หรือชื่อย่อว่า เอสพีเอ
จะเข้ามาสร้างความหนาว ๆ ร้อน ๆ ให้กับซอฟต์แวร์เถื่อนเสียที
กลุ่มเอสพีเอนั้น จัดเป็นสมาคมทางการค้าระหว่างประเทศของผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายเล็กรายใหญ่รวมตัวกันมากกว่า
1,200 ราย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เกมส์ การศึกษา และมีซอฟต์แวร์ธุรกิจ
เพราะสมาชิกที่เป็นผู้ผลิตชื่อดังรวมอยู่ในกลุ่มด้วยหลายราย อาทิ ไอบีเอ็ม
ไมโครซอฟท์ โนเวลล์
การเข้ามาพิทักษ์สิทธิ์ในไทยของเอสพีเอได้มอบหมายให้สำนักกฎหมาย ติลลิกี
แอนด์ กิบบินส์ สำนักกฎหมายเก่าแก่เป็นตัวแทนในไทย ซึ่งมี เซ สุจินตัย รองผู้อำนวยการ
และหัวหน้าแผนกทรัพย์สินทางปัญญาของสำนักกฎหมายแห่งนี้เป็นผู้รับผิดชอบ
แม้ว่าเป้าหมายของเอสพีเอไม่ได้แตกต่างไปจากกลุ่มบีเอสเอเท่าใดนัก คือ
ต้องการลดการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ให้น้อยลง เพื่อเปิดโอกาสให้ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมายเข้ามาแทนที่ในตลาดซอฟต์แวร์ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
โดยเฉพาะในย่านเอเชียแปซิฟิกที่มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก แต่ยังมีปัญหาการละเมิดซอฟต์แวร์สูงมาก
"ทำไมต้องมีองค์กรอย่างเอสพีเอ เพราะผู้ผลิตซอฟต์แวร์หลายรายไม่กล้าขายซอฟต์แวร์ในไทย
เพราะกลัวปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์" เอลิชา ลอว์เรนส์ ผู้อำนวยการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของเอสพีเอ
ชี้แจง
กระนั้นก็ตาม มาตรการทางกฎหมายเพื่อใช้ไล่ล่ากวาดล้าง บรรดาผู้ค้า และผู้ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน
ดังเช่น กลุ่มบีเอสเอทำมาตลอด 2-3 ปีมานี้ จะเป็นหนทางสุดท้ายที่เอสพีเอเลือกใช้
ลอว์เรนส์ กล่าวว่า จุดประสงค์ของเอสพีเอจะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาเป็นหลัก
เพราะการกวาดจับเป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น แต่การสร้างความรู้ให้ผู้ใช้เห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมายจะเป็นสิ่งที่แก้ปัญหาได้ผลมากกว่า
"อย่างในห้างพันธุ์ทิพย์พอจับแล้วพรุ่งนี้ก็กลับมาขายใหม่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปจับเขาทุกวัน
ตราบใดที่คนใช้ยังไม่มีความสำนึกหรือความเข้าใจถึงความสำคัญในการใช้ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมายเพียงพอ
เราจึงต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเน้นที่การให้การศึกษา" เซ สุจินตัย กล่าว
แต่ใช่ว่า เอสพีเอจะละเลยสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่จะใช้กลวิธีที่แยบยลกว่าเท่านั้น
เป้าหมายของเอสพีเอจึงมุ่งเน้นไปที่ "ผู้ใช้" ที่เป็นองค์กรธุรกิจต่าง
ๆ มากกว่าจะมุ่งกวาดล้างผู้ค้าซอฟต์แวร์เถื่อน ด้วยเหตุที่ว่าหากไม่มีผู้ใช้ย่อมไม่มีผู้ขาย
ในขณะที่กลุ่มบีเอสเอ เปิดสายด่วน HOTLINE ไว้สำหรับให้ผู้ที่ได้รับเบาะแสโทรฯ
เข้ามาแจ้งว่ามีองค์กรใด หรือบริษัทใดละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์บ้าง และเมื่อมีการดำเนินคดีจนถึงที่สุดแล้ว
บีเอสเอจะสมนาคุณให้ 1 แสนบาท แต่สำหรับเอสพีเอ จะเปิดสายโทรศัพท์ HELP LINE
จะเป็นหมายเลขให้ผู้ใช้โทรเข้ามาสอบถามปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์
รวมถึงรับแจ้งข้อมูลว่า มีการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ใด แต่เอสพีเอจะไม่มีรางวัลให้
"ได้ผลเยอะ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ผู้ที่โทรเข้ามาแจ้งข้อมูลจะเป็นพนักงานเก่าที่ลาออก
หรือทะเลาะกับนาย ซึ่งเราจะถามเขาโดยเขาไม่ต้องเกี่ยวข้องในคดี เพียงแต่ให้ข้อมูลเรามา
หลังจากนั้น เราจะส่งนักสืบเข้าไปหาหลักฐาน ก่อนจะดำเนินงานในขั้นต่อไป"
เซเล่า
นอกจากนี้ เอสพีเอ จะมีโปรแกรมตรวจสอบด้วยตัวเอง หรือ SELF AUDIT KIT ซึ่งจะเป็นแผ่นดิสก์เก็ตต์
ที่จะจัดส่งไปให้องค์กร หรือบริษัทต่าง ๆ ใช้ตรวจสอบว่าเครื่องพีซีที่ใช้งานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่าง
ๆ เหล่านั้น มีซอฟต์แวร์อะไรบรรจุอยู่ในนั้นบ้าง และซอฟต์แวร์เหล่านี้มีไลเซนส์
(บันทึกการซื้อ ใบกำกับการขาย ใบอนุญาต) ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
หากองค์กรธุรกิจใด พบว่ามีซอฟต์แวร์ที่ไม่มีไลเซนส์จะต้องทำการลบทิ้ง
และซื้อซอฟต์แวร์ถูกต้องตามกฎหมายมาใส่แทน นอกจากนี้ เอสพีเอจะเจรจาเรียกค่าเสียหายจำนวนหนึ่งและทุก
ๆ 20% ของเงินที่ได้รับมาเอสพีเอจะนำไปซื้อซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์บริจาคให้กับสถาบันการศึกษาต่าง
ๆ
โปรแกรม SELF AUDIT KIT นี้ เอสพีเอจะทำผ่านอินเตอร์เน็ตด้วยอีกทางหนึ่ง
โดยบรรจุลงในโฮมเพจของเอสพีเอ ให้ผู้ที่สนใจดาวน์โหลดไปใช้ตรวจสอบเครื่องพีซีของตัวเอง
"จุดประสงค์เราไม่อยากจับกุมเขา เพียงแต่อยากเจรจากับเขามากกว่าให้เขาซื้อซอฟต์แวร์ที่ถูกกฎหมายมากกว่า
แต่หากเขาไม่ยอมให้ตรวจสอบ เราจึงแจ้งความตำรวจดำเนินคดี"
นอกจากนี้ เอสพีเอจะจัดทำหลักสูตร CSM ซึ่งเป็นคอร์สอบรมสั้น ๆ ให้กับผู้จัดการแผนกคอมพิวเตอร์
โดยจะเน้นให้ความรู้ในเรื่องฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะอบรมให้บริษัทเหล่านี้หันมาควบคุมดูแลการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปถูกกฎหมาย
"บริษัทส่วนมากจะนาน ๆ ซื้อซอฟต์แวร์สักครั้ง แม้ว่าในระหว่างนั้นจะมีการเพิ่มพนักงาน
และเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ เราต้องคอยเทรนคนให้เขาคอยคิดถึงสิ่งเหล่านี้เสมอ"
ช่วงแรกคอร์สอบรมของเอสพีเอจะจัดให้กับรัฐบาล และบริษัทคนไทยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
แต่หลังจากนั้นจะเริ่มเก็บเงิน ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเก็บอยู่ในอัตรา 300 ดอลลาร์สหรัฐ
(7,500 บาท) และจะนำรายได้ทั้งหมดไปซื้อซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์และนำไปบริจาคแก่สถาบันการศึกษา
โปรแกรมทั้งหมดนี้ เอสพีเอจัดทำขึ้นสำหรับผู้ใช้ที่เป็นองค์กร ที่ต้องการมุ่งเน้นในเรื่องการศึกษา
แต่ในแง่ของผู้ค้าซอฟต์แวร์เถื่อนแล้ว เซยอมรับว่า การส่งจดหมายให้ตามวิธีข้างตนคงใช้ไม่ได้กับร้านค้าเหล่านี้
ยังคงต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเข้าช่วยเหมือนเดิม
ขณะเดียวกัน ทางด้านของติลลิกี แอนด์ กิบบินส์ แม้จะคร่ำหวอด กับงานด้านทรัพย์สินทางปัญญามากกว่า
50 ปี แต่ภารกิจในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ทนายความที่ต้องออกไปดำเนินคดีให้กับลูกความเช่นในอดีต
แต่ยังต้องทำหน้าที่ในฐานะของตัวแทนในไทย ซึ่งเซยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
"คดีอื่น ๆ เราเป็นแค่ทนายออกไปดำเนินคดี แต่สำหรับการเป็นตัวแทนให้เอสพีเอแล้ว
จะต้องทำหน้าที่ทุกอย่างให้เอสพีเอ ซึ่งเป็นงานที่แปลกและแตกต่างจากลูกความรายอื่น
ๆ "
ภารกิจของติลลิกี จะมีตั้งแต่การสืบหาข้อมูล ที่มาจาก HELP LINE รวมถึงการจ้างนักสืบไปสำรวจหาหลักฐาน
และการเจรจากับผู้ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อนให้หันมาใช้ซอฟต์แวร์ถูกกฎหมาย รวมถึงการแจ้งจับดำเนินคดี
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังต้องทำหน้าที่เป็นประชาสัมพันธ์ และให้ความรู้กับหน่วยงานต่าง
ๆ ทั้งราชการและเอกชน ตามโปรแกรมต่าง ๆ ที่เอสพีเอจัดมา รวมถึงการดูแลผลประโยชน์ทางด้านการค้าของสมาชิกในกลุ่มเอสพีเอ
"เราต้องเป็นเสมือนเอสพีเอ เช่น มีคนโทรฯ เข้ามาที่เฮลพ์ไลน์ และบอกว่า
ซอฟต์แวร์ของสมาชิกไม่มีบริการเลย เราจะส่งข้อมูลไปให้เอสพีเอ เพื่อให้ส่งผ่านไปให้สมาชิกอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อให้เขารู้ว่าเขามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง หรือมีการร้องว่าราคาซอฟต์แวร์ของเราแพงกว่าเอสพีเอแพงกว่าคู่แข่งก็ต้องแจ้งกลับไป"
เซ ทิ้งท้ายว่า ภารกิจทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องหนักหนาเลย แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญ
คือ อิทธิพลนอกกฎหมาย ที่ส่งผลให้การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ไม่มีวันหมดไปได้ง่าย
ๆ