เปิดเสรีการเงินไทย-สหรัฐฯไม่คืบเตรียมระดมสมองครั้งใหม่ม.ค.ปีหน้า


ผู้จัดการรายวัน(22 พฤศจิกายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ไทย-สหรัฐฯ ยังยื้อเปิดเสรีการเงิน เหตุสหรัฐฯ รุกขอสิทธิที่ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังประเทศอื่นเปิดให้บริการด้านการเงินข้ามพรมแดนอย่างเสรี ขณะที่ไทยปฏิเสธเพราะยังขาดความพร้อมพร้อมขอมาตรการจำกัดเงินทุนไหลออกกรณีเกิดปัญหาดุลชำระเงิน และมาตรการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประชุมอีกรอบ ม.ค.ปีหน้า คาดผลเจรจาเข้มข้นมากขึ้น

นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจากลุ่มบริการด้านการเงินฝ่ายไทย เปิดเผยถึง ความคืบหน้าในการเจรจาความตกลงเปิดเสรีบริการด้านการเงินภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ ว่าในการประชุมวันแรก (17 พ.ย.) ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันจัดทำร่างความตกลงร่วมสาขาบริการด้านการเงินของไทยและของสหรัฐฯ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นสอดคล้องกันในหลักการหลายประเด็น

โดยประเด็นหลัก ที่มีความเห็นสอดคล้งกัน ได้แก่ 1. คำจำกัดความบริการด้านการเงิน 2. ด้านความโปร่งใส ที่จะต้องเปิดเผยข้อมูล กฎระเบียบ ด้านการกำกับดูแลบริการด้านการเงินระหว่างกัน 3. การจัดตั้งคณะกรรมการด้านการเงิน เพื่อกำกับดูแลการดำเนินการตามความตกลงฯ รวมทั้งให้การปรึกษากรณีมีข้อพิพาทเบี้องต้น และ 4. การอนุญาตให้สถาบันการเงินของประเทศคู่สัญญาใช้ระบบการชำระเงินที่มีในประเทศได้ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีประเด็นหลักๆ ที่ยังมีความแตกต่างกันในหลักการ จากร่างของสหรัฐฯ อยู่มาก เนื่องจากพื้นฐานรูปแบบการเจรจาที่แตกต่างกันระหว่าง Positive List ของไทย และ Negative List ของสหรัฐ ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะต้องกลับไปพิจารณาในระดับนโยบายต่อไป ประกอบด้วย

1. เรื่องของประเภทของบุคคลที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากความตกลง ร่างของไทยที่ครอบคลุมผู้ให้บริการด้านการเงินของสหรัฐฯ ขณะที่ร่างของสหรัฐฯ ครอบคลุมสถาบันการเงิน เฉพาะที่มีกฎหมายกำกับดูแล นักลงทุน/การลงทุนในสถาบันการเงิน การให้บริการการเงินข้ามพรมแดน นอกจากนี้ ภายใต้ร่างของสหรัฐฯ จะให้ประโยชน์แก่ นักลงทุนของ Non-party เช่น นักลงทุน/นิติบุคคลแคนาดาที่มี Substantial Business ในสหรัฐฯ ด้วย ในขณะที่ร่างไทยต้องการให้เฉพาะนักลงทุน/นิติบุคคลสหรัฐฯ เท่านั้น


2. การประติบัติเยี่ยงคนชาติ ซึ่งให้รัฐให้การประติบัติต่อนักลงทุน เงินลงทุน สถาบันการเงิน และผู้ดำเนินธุรกิจด้านการเงิน ของคู่สัญญาเทียบเท่ากับของคนในชาติ ในขณะที่ฝ่ายไทยต้องการให้เท่าที่ระบุไว้ในตารางแนบตามหลัก Positive List เท่านั้น


นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่มีในร่างของสหรัฐฯ แต่ไม่มีในร่างของฝ่ายไทย ได้แก่

1. การประติบัติเยี่ยงคนชาติที่ได้รับความอนุเคราะห์ยิ่ง ด้วยการให้สหรัฐฯ ได้รับสิทธิที่ดีที่สุดที่ไทยได้ตกลงเปิดเสรีในด้านการเงินกับประเทศอื่นๆ ทั้งก่อนและหลังการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ขณะที่ฝ่ายไทยต้องการให้เป็น Positive List เพราะเห็นว่า ภายใต้ความตกลงฯ ทวิภาคีนี้ ควรเป็นสิทธิประโยชน์เฉพาะคู่สัญญา

2. การค้าบริการด้านการเงินข้ามพรมแดนที่ประเทศไทยจะอนุญาตให้ผู้ให้บริการทางการเงิน ของสหรัฐฯ สามารถให้บริการด้านการเงินในประเทศข้ามพรมแดนมาประเทศไทยได้ และอนุญาตให้คนไทยทั้งที่อาศัยในประเทศและต่างประเทศสามารถซื้อบริการด้านการเงินข้ามพรมแดนจากผู้ให้บริการของสหรัฐฯ ได้เสรี ไม่ว่าจะให้บริการจากที่ไหนก็ตาม ซึ่งฝ่ายไทยไม่ต้องการเนื่องจากยังขาดกฎหมายกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้งกฎหมายกำกับดูแลอิเล็กทรอนิกส์ แบงก์กิ้ง

3. การให้บริการรูปแบบใหม่ สหรัฐฯ สามารถเสนอบริการการเงินใหม่ในประเทศไทยได้ เท่าเทียมกับสถาบันการเงินภายในประเทศ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน โดยไม่ต้องมีการออกกฎหมายใหม่ ซึ่งฝ่ายไทยเห็นว่าจะกำกับดูแลยาก และสถาบันการเงินไทยไม่สามารถแข่งขันได้

4.ประเด็น Self-Regulatory Organization (SRO) ที่ฝ่ายไทยจะต้องแจ้งให้สหรัฐฯ ทราบถึง SRO ที่กำหนดให้สถาบันการเงินสหรัฐฯ ต้องเข้าเป็นสมาชิก เพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ เกรงว่าจะถูกกีดกันหลังเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยแล้ว ขณะที่ฝ่ายไทยยังต้องตรวจสอบว่าหน่วยงาน SRO ในประเทศไทยประกอบด้วยหน่วยงานใดบ้าง

5. ประเด็นข้อพิพาทระหว่างนักลงทุนและรัฐ ที่นักลงทุนสหรัฐฯ สามารถฟ้องร้องรัฐบาลไทย หากนักลงทุนสหรัฐฯ ไม่พอใจมาตรการของทางการ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ต้องการ เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้องได้ จึงไม่ยอมรับร่างสหรัฐฯ ในมาตราดังกล่าวได้

"แม้ว่าผลของการเจรจาในวันแรก จะยังมีประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นไม่สอดคล้องอยู่บ้าง แต่เป็นความคืบหน้าที่ดีของการเจรจาด้านการเงิน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหารือต่อไปในวันต่อไป ซึ่งนายนริศฯ ได้เน้นให้ฝ่ายสหรัฐฯ ทราบว่า นายทนง พิทยะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้แนวทางในการเจรจาฯ ในทุกกรอบการเจรจาว่าจะต้องเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายจึงจะสามารถยอมรับข้อตกลงดังกล่าวได้"

สำหรับการประชุมวันที่ 2 (18 พ.ย.) ฝ่ายไทยได้ยกประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจไทยขึ้นหารือกับฝ่ายสหรัฐฯ กล่าวคือได้หารือในมาตราที่มีในร่างของไทย แต่ไม่มีในร่างของฝ่ายสหรัฐฯซึ่งสหรัฐฯ ยังไม่ยอมรับ ได้แก่ 1. มาตรการจำกัดเงินทุนไหลออกกรณีประเทศประสบปัญหาดุลการชำระเงิน และ 2.มาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งฝ่ายไทยต้องมีการระบุไว้ในความตกลงฯ เนื่องจากเป็นความจำเป็นของประเทศขนาดเล็กที่ต้องมีมาตรการเหล่านี้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ ฝ่ายสหรัฐฯ เห็นว่า มาตราข้อยกเว้นในร่างของสหรัฐฯ น่าจะยืดหยุ่นเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องใช้ 2 มาตราดังกล่าวตามที่ไทยเสนอ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจึงตกลงที่จะมีการเจรจาอีกครังในเดือนมกราคม 2549 ที่ประเทศไทย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.