|
LPNทำคอนโด บุกตลาด5แสน ดึงลูกค้าบ้านเอื้อฯ
ผู้จัดการรายวัน(21 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
LPNเผยแผนรุกคอนโดฯ ตลาดล่าง เจาะกลุ่มลูกค้าระดับเดียว กับโครงการบ้านเอื้ออาทร 4-5 แสนบาทต่อยูนิต หลังกระแสจัดสรรกลาง-ใหญ่ หันเจาะกลุ่มคอนโดมิเนียมตลาดกลาง ยันผู้ประกอบการแห่บุก ตลาดกลางไม่กระทบยอดขาย ชี้คอนโดฯตลาดล่างทำยาก ประสบการณ์น้อย ไม่ตั้งใจจริงอย่าบุ่มบ่าม
นายทิฆัมพร เปล่งศรีสุข กรรมการผู้จัดการ แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า จากช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลายๆ ราย เริ่มหันมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในตลาดระดับกลางมากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้ม ว่ามีการพัฒนาโครงการและก่อสร้างเสร็จ รวมถึงจะสามารถ มอบโอนได้ในระยะ 2-3 ปีนี้นั้น โดยส่วนตัวแล้วเห็นว่า การที่มีผู้ประกอบการหันมาพัฒนาคอนโดมิเนียมในตลาดดังกล่าว จะส่งผลไม่กระทบต่อยอดขายของ แอล.พี.เอ็น. แต่อย่างใด
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการที่เข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ มีความเจตนาและความตั้งใจจริงในการพัฒนาสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดอย่างแท้จริง เชื่อว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อตลาด แต่หากเป็นการเข้ามาพัฒนาโครงการตามกระแสแล้ว เชื่อว่าจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นนอน เพราะการทำคอนโดฯ ในตลาดนี้ หากมีการพัฒนาในจำนวนมากๆ ถือว่าเป็นเรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขาย และการก่อสร้าง การควบคุมต้นทุน รวมถึงการบริหารจัดการหลังการขาย โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลลูกค้าให้ตรงความต้องการมากที่สุด ซึ่งในส่วนนี้บริษัทเองนับว่ามีประสบการณ์และความชำนาญ เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์ในการบริหารหลังการขายมากว่า 10 ปีแล้ว จึงมั่นใจว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดดังกล่าวที่เริ่มสูงขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการดำเนินการอย่างต่อเนื่องดังนั้น แผนการดำเนินงานในปี 2549 บริษัท จึงต้องมีการพัฒนาและเตรียมการปรับกลยุทธ์ วิธีการบริหาร และการตลาดใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการหยุดนิ่ง และเพื่อให้ มีการพัฒนาอยู่ในระบบการบริหารอยู่ตลอดเวลา โดยเตรียมแผนที่จะรุกตลาดคอนโดมิเนียมในตลาดล่างมากขึ้น โดยบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในระดับราคาขายอยู่ที่ 4-5 แสนบาทต่อยูนิต เนื่องจากเล็งเห็นว่าตลาดในย่านกลางเมืองยังมีดีมานด์กลุ่มนี้อยู่อีกมาก
สำหรับการพัฒนาโครงในตลาดดังกล่าว บริษัทจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการพัฒนาต่อโครงการประมาณ 10-20 ไร่ เนื่องจากการพัฒนาโครงการระดับราคา 4-5 แสนบาท ในขณะที่ต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้นเรื่อยๆ หากต้องการจะมีกำไร จำเป็นต้องพัฒนาอาคารในโครงการครั้งละมากๆ เพื่อให้มีหลายๆ ยูนิต ทำให้เกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ จึงจะคุ้มค่าต่อการลงทุน ส่วนรูปแบบในการพัฒนาโครงการคงเป็นใน รูปแบบเดิมที่มีการพัฒนามาอยู่ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่จะใช้แบรนด์ใดในการพัฒนานั้นขณะนี้ยัง ไม่สามารถเปิดเผยได้ สำหรับที่ดินที่จะนำมาพัฒนาโครงการใหม่นั้นขณะนี้ยังอยู่ในช่วงการจัดหาพื้นที่ในทำเลที่มีศักยภาพอยู่ ซึ่งขณะนี้มีอยู่หลายทำเลด้วยกัน และคาดว่าจะมาสมารถสรุปผลได้เร็วๆ นี้
นายทิฆัมพร กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม โครงการคอนโดมิเนียมที่เจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับล่างดังกล่าว คงไม่เกี่ยวกับแผนการดำเนินงานเดิมที่จะมุ่งพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง ซึ่งตามแผนแล้ว แอล.พี.เอ็น. ยังเน้นการพัฒนาโครงการระดับราคา 0.8-1.5 ล้าน บาท โดยแผนการพัฒนาโครงการในปี 49 นั้น บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่ประมาณ 5-6 โครงการ ซึ่งถือว่าจำนวนในการพัฒนาโครงการ จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปี 48 และถือเป็นความท้าทาย ในศักยภาพการพัฒนาโครงการของบริษัท
ส่วนมูลค่าโครงการการพัฒนาต่อโครงการ และมูลค่ารวมในการพัฒนาโครงการใหม่ของปี 2549 นั้นขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าโครงการได้ เพราะอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินใหม่ ในการพัฒนาโครงการ นอกจากนี้ บริษัท ยังมีที่ดินในส่วนที่อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อขายอยู่ เช่น ที่ดินในย่านสะพานควาย, ลาดพร้าว เป็นต้น โดย ขณะนี้ที่ดินในมือที่จะพัฒนาโครงการปีหน้ามีอยู่แล้ว 1 แปลง ในย่านปิ่นเกล้าใกล้กับ เมเจอร์ ปิ่นกล้า โดยในโครงการนี้จะสามารถเริ่มเปิดตัวได้ในไตรมาสแรก ปี49 ส่วนจะใช้แบรนด์ใดนั้นยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้
"ปัจจุบันบริษัทจัดสรรทุกรายเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับตลาดคอนโดมิเนียมระดับกลางมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ ไม่มีผู้ประกอบการสนใจตลาดระดับดังกล่าวนัก เพราะเมื่อก่อนหากใครการมาทำตลาดนี้จะต้องดูแลลูกค้าเป็นอย่างมาก และค่อนข้างวุ่นวาย ประกอบกับในช่วงนั้น ผลกำไรจากการทำคอนโดฯ และบ้านตลาดบนจะดีกว่า ซึ่งในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ผม ได้เห็นความสำคัญของลูกค้าตลาดกลางอยู่แล้ว และได้มีการเก็บขอมูลลูกค้าเก่า ไว้เป็นฐานข้อมูล ของบริษัทมาโดยตลอด จึงทำให้เรามีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้นหลายหมื่นรายต่อปี และทำให้แบรนด์ แอล.พี.เอ็น.ฯ เป็นที่รู้จักในตลาดกลางมาโดยตลอด" นายทิฆัมพร กล่าว
นายทิฆัมพร กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีฐานลูกค้าเก่าในมือจำนวนมาก ส่งผลดีในการขยายฐานลูกค้าใหม่โดยการแนะนำปากต่อปาก ทำให้มีลูกค้าใหม่ที่ได้รับการแนะนำจากลูกค้าเดิมเข้ามากว่า 40-50% ทั้งนี้ วิธีการทำงานของบริษัท ที่ผ่านมา จะคำนึงถึงความสำคัญของลูกค้า มาโดยตลอดจึงได้รับการตอบรับที่ดี
นอกจากนี้ ในปี 2549 บริษัทยังมีแผนปรับโครงสร้างองค์กรด้านการจัดการใหม่ โดยจะตั้งผู้บริหารฝ่ายจัดการคนใหม่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแทนตน ซึ่งจะเป็น การผลักดันผู้บริหารของบริษัทขึ้นมา โดยไม่ต้องดึงคนจากภายนอกเข้ามาแต่อย่างใด ส่วนตนจะนั่งบริหารเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจจะดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โดยความคืบหน้าในการปรับองค์กรใหม่นั้นขณะนี้อยู่ในช่วงการดำเนินงาน และคาดว่าจะสามารถสรุปได้ในต้นปี 2549
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดการแข่งขันในคอนโดมิเนียมจะไม่สูงมากนัก แม้จะมีผู้ประกอบการหลายรายเข้ามาในตลาดระดับนี้ และไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำ อีกทั้งสถาบันการเงินขณะนี้ก็เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการแนวสูงได้นั้น ในการขอกู้สถาบันการเงินเพื่อพัฒนาโครงการนับว่าเป็นเรื่องยากที่จะผ่านการอนุมัติปล่อยกู้ เพราะต้องมีผลงาน และประสบการณ์ในการบริหารพัฒนาโครงการแนวสูงมาเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ในปี 2548 บริษัทมีการพัฒนาโครงการ ใหม่รวม 4 โครงการประกอบด้วย โครงการใหม่ ลุมพินี เซ็นเตอร์ แฮปปี้แลนด์ เฟส 5 มูลค่าโครงการประมาณ 400 ล้านบาท, โครงการลุมพินี เพลส ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการประมาณ 1 พันล้านบาท, โครงการลุมพินีวิลล์ ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการประมาณ 1.7 พันล้านบาท และโครงการลุมพินี เพลส นราธิวาส เจ้าพระยามูลค่า โครงการประมาณ 3 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีรายได้จากการขาย 7,000 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|