|
"วังทอง"ลุยโครงการแนวสูง ผุดคอนโดฯ-ศูนย์การค้าย่านรังสิต
ผู้จัดการรายวัน(15 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"วังทอง" เล็งขยายฐานลูกค้าลงกลาง-ล่าง รับกำลังซื้อ ผู้บริโภคลด เผยกลางปี 49 เตรียมรุกตลาดอาคารสูงทั้งคอนโดฯ 5-8 แสนบาท ศูนย์การค้า พร้อมเพิ่มสัดส่วนทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว 4 โครงการรวด ระบุพัฒนาโครงการขนาดเล็ก ปิดโครงการเร็ว ป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจผันผวน ด้านผลประกอบการยอดขายเพียง 2,500 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า แจงเหตุยกเลิกเปิดโครงการหลังเจรจาที่ดินไม่ลงตัว
นายปราโมทย์ เจษฎาวรางกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทวังทอง กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ใน ปี 2548 บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการแนวสูง ทั้งคอนโดมิเนียม ระดับราคา 6-8 แสนบาท และศูนย์การค้า (คอมมูนิตี้มอลล์) เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความต้องการของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายถึงรูปแบบภายในของ คอนโดฯ เนื่องจากเป็นการเข้าสู่ตลาดนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นต้องให้เกิดความมั่นใจในตัวสินค้าก่อนเริ่มพัฒนา
สำหรับพื้นที่พัฒนาโครงการดังกล่าวนั้นมีที่ตั้งริมถนนวิภาวดี-รังสิต ติดกับศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต บนเนื้อที่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินเดิมของบริษัท โดยแบ่งพื้นที่ขนาด 2 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น รูปตัวยู 1 อาคาร จำนวน 230 ยูนิต ขนาด 30-50 ตร.ม. ส่วนที่ดิน ที่เหลืออีก 2 ไร่จะพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ โดยใช้ศูนย์การค้าเข้ามาเช่าพื้นที่ ส่วนจะมีขนาดเท่าใด นั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาด ว่าจะเริ่มพัฒนาได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2549
ในส่วนของโครงการแนว ราบนั้นบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการจัดสรรระดับราคา 1-1.8 ล้านบาท เน้นสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวชั้นเดียว ขนาด 50-60 ตร.ว. และทาวน์เฮาส์ หน้ากว้าง 5-6 เมตร โดยมีแผนที่จะเปิด 4 โครงการ ในย่านรังสิต ขนาดประมาณ 20 ไร่ จำนวน 200-300 ยูนิต/โครงการ
นายปราโมทย์ กล่าวว่า จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในตลาด ทำให้ค่าใช่จ่ายของผู้บริโภคสูงขึ้นตาม ในขณะที่รายได้ไม่ได้ปรับขึ้นตาม ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง บ้านระดับราคาตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทลงมาจะได้รับความสนใจของตลาดอย่างมาก โดยเฉพาะทาวน์เฮาส์ ซึ่งในบางทำเลขาดแคลน
ดังนั้น บริษัทจึงเล็งเห็นว่าควรจะพัฒนาสินค้าที่มีราคาต่ำลง และขยายไปสู่ตลาดใหม่และทำเลใหม่ๆ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าให้มากและรองรับกำลังซื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การขยายตลาดใหม่และทำเลใหม่ดังกล่าวจะต้องมีการสำรวจความต้องการที่แท้จริง รวมไปถึงรูปแบบของสินค้าที่จะผลิตออกมาว่าตรงกับความต้องการหรือไม่เพื่อป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ยังพัฒนาโครงการขนาดเล็กไม่เกิน 20 ไร่ เพื่อให้จบโครงการได้เร็ว เพราะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีความผันผวนสูง การจบโครงการเร็วก็ลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้
ส่วนแผนการขยายการ ลงทุนไปยังทำเลอื่นๆ นั้นขณะนี้ อยู่ระหว่างหาที่ดินเพื่อมาพัฒนาซึ่งต้องการทำเลย่านรามอินทรา แจ้งวัฒนะ โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาบ้านในระดับแบรนด์ภุมริน ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากที่ดินที่ได้จะเป็นที่ใกล้เมืองซึ่งมีต้นทุนสูงและเหมาะสำหรับพัฒนาในแบรนด์ดังกล่าว
สำหรับผลประกอบการในปี 2548 นั้นคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายประมาณ 2,400-2,500 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปี 3,000 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุมาจากการยกเลิกเปิด 2 โครงการที่เอกชัย-บางบอน และย่านรังสิต คลอง 3 เนื่องจากเจรจาเรื่องที่ดินไม่ได้ อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบริษัทมีสินค้ารอขายประมาณ 4,000 ยูนิต ซึ่งสามารถครอบคลุมการขายในปีหน้าได้
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|