เซียนชี้หุ้นปีจอทรงตัว ตลท.เน้นสร้างเสถียรภาพตลาดฯ


ผู้จัดการรายวัน(15 พฤศจิกายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2549-ปีจอ ไม่สดใส อยู่ในลักษณะทรงตัว เหตุมีปัจจัยดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังสร้างเสถียรภาพต่อภาวะการซื้อขาย เล็งเพิ่มนักลงทุนสถาบันให้อยู่ในสัดส่วน 40% ภายในระยะเวลา 5 ปีผ่านกองทุนรวม

วานนี้(14 พ.ย.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)บีที ได้ร่วมกับรายการ Money Talk จัดสัมมนาเจาะลึกเศรษฐกิจและทิศทางหุ้นปี 2549 ที่ห้องศ.สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญตลาดทุนเปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นในปี 2549 นั้นคาดว่า จะมีลักษณะของการทรงตัว คงจะไม่ปรับตัวขึ้นมาแรงๆ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นให้ถูกต้อง จึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะได้แก่หุ้นที่มีค่าพี/อี เรโชต่ำ และมีศักยภาพในการเติบโต ทั้งนี้ทิศทาง ของตลาดหุ้นไทยนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการ คือ ภาวะตลาดหุ้นว่าดีหรือไม่ โดยจะพิจารณาจากค่าพี/อี เรโช ซึ่งปัจจุบันนี้ค่าพี/อี เรโชตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 8.8 เท่า และเมื่อพิจารณาค่าพี/อี เรโช ย้อนหลังของตลาดหุ้นไทยฝยช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา พบว่าค่าพี/อี เรโช โดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับ 8.7 เท่าซึ่งถือว่าไม่แตกต่างกันมากนักและถ้าพิจารณาจากช่วงที่เศรษฐกิจดีและมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาจะพบว่าค่าพี/อี เรโชโดยเฉลี่ยจะอยู่ในระดับประมาณ 16.8 เท่าและเคยขึ้นมาสูงสุดเกือบ 30 เท่า

อย่างไรก็ตาม หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 จนถึงปัจจุบันค่าพี/อี เรโชปรับตัวลดลง โดยค่าเฉลี่ยพี/อี เรโชจะอยู่ในระดับ 9.4 เท่าและเคยลงมาต่ำอยู่ในระดับ 5-6 เท่าในบางช่วง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าค่าพี/อี เรโชในปัจจุบันนี้ถือว่าไม่อยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป หรือสูงเกินไป

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยังมีปัจจัยเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะตลาดหุ้นได้ โดยขณะนี้กองทุนอสังหาริมทรัพย์บางกองทุนก็กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ซึ่งให้ผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกับการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้นอาจจะทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นปัจจัยที่สองได้แก่กำไรของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาพบว่าบริษัทจดทะเบียนมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงมาก แต่ขณะนี้เชื่อว่ากำไรเริ่มที่จะชะลอลงแล้ว โดยคาดว่าปีหน้าคงจะเพิ่มไม่มากนัก เพราะอุตสาหกรรมหลายประเภทราคาปรับตัวสูงขึ้นมากแล้ว เช่นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี,น้ำมัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ก็เริ่มกลับมาจ่ายภาษีแล้ว จากเดิมที่ไม่ต้องจ่ายเพราะมีขาดทุนสะสมอยู่ แต่เมื่อล้างขาดทุนสะสมหมดแล้ว จึงต้องจ่ายในอัตราประมาณ 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้กำไรของธนาคารพาณิชย์จะลดลงสำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจการลงทุนได้แก่กลุ่มธุรกิจค้าขายสมัยใหม่ เพราะถือว่าบริษัทเหล่านี้มีความมั่นคงสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีหนี้สินน้อย ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าธุรกิจนี้มีการเติบโตอย่างมาก และเชื่อว่าในอนาคตยังมีความน่าสนใจอยู่

ส่วนกลุ่มที่ต้องหลีกเลี่ยงได้แก่หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี, หุ้นที่เกี่ยวกับน้ำมัน,เหล็ก เพราะราคาของสินค้า ดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า ภายในปีหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯจะมีสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งตลาด อนุพันธ์ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในไตรมาสแรกปี 2549 และตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามที่จะขยายฐานนักลงทุนเพิ่มขึ้นโดยร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์และบลจ. คาดว่าจะมีนักลงทุนเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ในจำนวน 1.1 ล้านคน ซึ่งถือว่าไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ ดังนั้น จึงถือได้ว่ายังมีโอกาส อีกมากที่จะขยายฐานนักลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นางสาวโสภาวดีกล่าวต่อว่า ตลาดหลักทรัพย์พยายามที่จะทำให้ทำให้ภาวะการซื้อขายมีเสถียรภาพ โดยหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้น โดยภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าคาดหวังว่าจะมีนักลงทุนสถาบันในประเทศ 40% นักลงทุนรายบุคคล 40% และนักลงทุนต่างประเทศ 20% จากปัจจุบันนี้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันอยู่ในระดับ8-10% นักลงทุนต่างประเทศประมาณ 20% และนักลงทุนบุคคล 70% ซึ่งแนวทางในการเพิ่มนักลงทุนสถาบันนั้นการส่งเสริมให้นักลงทุน

นอกจากนี้ค่าพี/อี เรโชของตลาดหุ้นไทยยังถือว่าต่ำกว่าค่าพี/อี ของตลาดหลักทรัพย์ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีค่าพี/อี เรโชอยู่ที่ระดับประมาณ 12-14 เท่า

ดังนั้น จึงถือได้ว่าตลาดหุ้นไทยมีส่วนลดให้แก่นักลงทุน และผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน ถือว่าไม่ต่ำจนเกินไปซึ่งใกล้เคียงกับการลงทุนในพันธบัตรที่อยู่ในระดับ 6-7% ในแง่ของความเสี่ยงในตลาดหุ้นถือว่าไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีปัจจัยที่มีผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาทั้งการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก, ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงปัจจัยภายนอกต่างๆ และบางปัจจัยเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่นการก่อการร้าย เป็นต้น

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจของไทยในปีหน้าจะขยายตัวประมาณ 4.3-5.3% ซึ่งมาจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน และการส่งออก รวมทั้งการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4-5% ใกล้เคียงกับปีนี้แม้ว่าการบริโภคจะได้รับผลกระทบจากทิศทางดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น ราคาน้ำมันแพง และถูกกดดันจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น แต่ก็ได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของการลงทุน ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อปี 2549 จะขยายตัวประมาณ 3.5-5% ชะลอตัวลงจากปีนี้ เนื่องจากผลของนโยบาย การเงินในการควบคุมเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น

ในขณะที่ดุลการค้ามีแนวโน้มขาดดุลลดลงคาดการณ์ว่าจะขาดดุลระหว่าง 3.7-5.1 พันล้านดอลลาร์ ตามการชะลอตัวลงของการนำเข้าการลงทุน ในโครงการเมกะโปรเจกต์ในปีหน้า โดยเฉพาะในส่วนของระบบขนส่งมวลชนที่อยู่อาศัยทรัพยากรน้ำ และด้านคมนาคม ซึ่งมีวงเงินลงทุนรวมกันประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ในระยะเวลา 4-5 ปีจะมีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอีกประมาณ1-1.5%

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น มีแรงหนุนจากฟื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่ง และราคาน้ำมันในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น ประกอบกับมีหุ้นที่มีพื้นฐานดีเข้าตลาดฯ แต่จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นของไทยไม่สามารถปรับขึ้นได้มากนัก กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนได้แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมองว่ายังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ถึงแม้ว่าในอนาคตจะมีการเปิดเสรีการค้ามากขึ้น และมีสถาบันประกันเงินฝาก แต่ก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่คงจะไม่ส่งผลกระทบ กลุ่มต่อมาได้แก่กลุ่มโทรคมนาคม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนโครงสร้าง ผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมีต่างประเทศได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทบางแห่ง

นอกจากนี้ ก็มีกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยเฉพาะบริษัทที่มีสายสัมพันธ์กับทางการเมืองหรือภาครัฐ เพราะจะมีโครงการเมกะโปรเจกต์ ส่วน หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างนั้น ถือว่าไม่น่าสนใจเท่าที่ควร เพราะราคาสินค้าวัสดุก่อสร้าง เช่นเหล็กซีเมนต์ และยางพารา ราคาปรับตัวสูงขึ้น


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.