มีลาภเซรามิก


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

จากเด็กขายผ้า-ยังเติร์กดินเผา

ริมถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง เขตบ้านไร่ข่วงเปา ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เป็นที่ตั้งของ หจก. มีลาภเซรามิก โรงงานเซรามิก เพื่อการส่งออกชั้นแนวหน้าอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดลำปาง ที่มีผลิตภัณฑ์ ที่โดดเด่นอยู่ ที่ "มิเนียเจอร์"

ไม่ว่าจะเป็นชุดเบญจรงค์-mini porcelain tea set-hanging dolls-ชุดแจกันดอกไม้ และ handicraft porce lain-stoneware-terra cotta เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ล้วนย่อส่วนลงจากผลิตภัณฑ์ประเภทเทเบิลแวร์ และเน้นไป ที่ Hand made & paint แทนการใช้สติ๊กเกอร์เหมือนกับโรงงานเซรามิกในลำปางทำกันมาในอดีต

หลายครั้ง ที่รถทัวร์นำเที่ยวทั้ง ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ-คนไทยมักจะจอดแวะเข้าเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์ พร้อมกับไกด์นำเที่ยว ที่เพียรติดต่อขอนำทัวร์ลง เพื่อให้ "มีลาภเซรามิก" เป็นแหล่งชอปปิ้งกินค่าน้ำในแต่ละทริป

แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจาก มีลาภ ตั้งสุวรรณ หนุ่มใหญ่ วัย 38 ปี เจ้าของผู้จัดการ หจก.มีลาภเซรามิก ทุกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า การขายปลีกหน้าโชว์รูม ที่มียอดขายวันละ 2-3 พัน หรือ 3-4 พัน/วัน ไม่คุ้มกับการที่เขาจะ ต้องยุ่งยากกับการจัดพนักงานมาขายหน้าโชว์รูม หรือแพ็กของครั้งละ 5-10 ชิ้นทุกวัน อันจะเป็นการกระทบกับกระบวนการผลิตตามออร์เดอร์ ที่ได้รับมาจากลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศของเขา

มีลาภ ตั้งสุวรรณ อุปนายกสมาคมเครื่องปั้นดินเผาจังหวัดลำปาง ได้ชื่อว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง ที่ปลุกปั้น หจก.มีลาภเซรามิก ขึ้นมาโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เซรามิก ที่ออกจากโรงงานของเขาติดตลาดทั้งใน และต่างประเทศรวมทั้งสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้ กลายเป็น 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกชั้นนำของจังหวัดลำปาง

คนในแวดวงเซรามิกลำปางต่างยอมรับว่า มีลาภเป็นคนสู้ชีวิตคนหนึ่ง ทั้ง ที่ไม่มีพื้นฐานด้านเซรามิกแม้แต่นิดเดียว วุฒิการศึกษาก็มีอยู่เพียงระดับมัธยม มีอาชีพดั้งเดิมเป็นเด็กขายผ้าแผงลอยในตลาดสบตุ๋ย จังหวัดลำปาง

แต่เขากลับใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 ปีหลังการก่อตั้งโรงงานกับการออกงาน Exhibition 4 ครั้งคือ ที่ญี่ปุ่น 2 ครั้ง เยอรมนี 1 ครั้ง และอังกฤษ อีก 1 ครั้งก็สามารถทำยอดส่งออก ที่คิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 900,000 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือราว 34.2 ล้านบาท/ปี (อัต ราแลกเปลี่ยน 38 บาท/ เหรียญ สหรัฐ) คิดเป็นสัดส่วนราว 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด ที่มีอยู่ราว 50,000 ชิ้น/เดือน

มีตัวแทนจำหน่ายทั้งในเยอรมนี และกลุ่มประเทศใน EU อีกหลายประเทศตลอดจนผู้สั่งซื้อขาประจำทั้ง ที่ญี่ปุ่น ฮ่องกง แคนาดา และ สหรัฐ อเมริกา เป็นต้น

การตัดสินใจ ที่จะเปลี่ยนอาชีพจากเด็กขายผ้าแผงลอยมาทำโรงงานเซรามิกของมีลาภ เริ่มขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เพราะเห็นว่าในกลุ่มนักอุตสาหกรรมเซรามิกลำปางรุ่นแรกๆ ต่างมีสถานะร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วจากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับดินขาวลำปาง กอปรกับราวปี 2528- 29 ที่โรงเรียนลำปางกัลญาณี มีการเปิดคอร์สอบรมออกแบบผลิตภัณฑ์เซรามิก ภายใต้การสนับสนุนด้านเงินทุนจากกรมการศึกษานอกโรงเรียนเป็น ระยะเวลา 3 เดือน มีอาจารย์จากวิทยาลัยครูพระนคร ที่สอนด้านเซรามิกอยู่แล้วมาเป็นผู้สอน

เขาก็เป็น 1 ใน 30 กว่าคนที่เข้ารับการอบรมคราวนั้น จากนั้น ก็ลงทุนซื้อ ที่ดินย่านถนนลำปาง-เชียงใหม่ เนื้อ ที่ทั้งหมดราว 10 ไร่เศษ ในราคา 2 ล้านบาทเมื่อ 10 กว่าปีก่อน (ปัจจุบันราคาตกไร่ละประมาณ 2 ล้านบาทเศษ) เริ่มจากโรงงานขนาดเล็ก-คนงานไม่กี่สิบคนกับเตาแก๊สเพียงเตาเดียวผลิตออมสิน-ของตั้งโต๊ะ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ด้วยความ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งด้านการจัดการ- เทคนิคการผลิต ปีแรก มีลาภยอมรับว่า ต้องเจอกับปัญหาค่อนข้างมากขั้นตอนการผลิตคุมไม่ได้กว่า 40-50% ของสินค้า ที่ผลิตออกมาใช้การไม่ได้จับทิศทางดีไซน์สินค้า หรือความนิยมผู้บริโภคไม่ถูก เพราะออมสิน-ผลิตภัณฑ์ เซรามิกตั้งโต๊ะ ที่นอกจากจะเห็นกันดาษดื่นทั่วไปในช่วงนั้น แล้ว ออมสินเซรามิก ก็ไม่มีข้อแตกต่างไปจากออมสินปูนพลาสเตอร์ ที่มีราคาต่ำกว่า 1 เท่าตัว นัก

แต่เขาก็ต้องทำด้วยการลองผิดลองถูกมาตลอด และจากการตระเวนออกร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ แล้ว พบว่า มีเซร ามิกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ค่อยมี ผู้ผลิตมากนัก แต่ลูกค้า ที่ซื้อ "ต่อราคาไม่ลง" ก็คือ มิเนียเจอร์ ทำให้มีลาภเริ่ม ทดลองผลิตขึ้นในโรงงานของเขา และเริ่มนำผลิตภัณฑ์ ที่พอใช้ได้ออกงานแฟร์ในประเทศ-ส่งขายตามตลาดจตุจักร กรุงเทพฯ

และด้วยปัจจัย ที่อยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบคือ ดินขาว และค่าแรง ที่สมัยนั้น ต่ำ เพียง 40 กว่าบาท/วัน/คน และไม่มี โรงงานเซรามิกในลำปางรายใดผลิตสินค้าประเภทนี้มาขายทำให้เขาสามารถกำหนดราคาสินค้า ที่ผลิตออกมาได้ต่ำกว่าโรงงานเซรามิกทั้งขนาดใหญ่-กลางในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลทำออกมาค่อนข้างมาก

อาทิ mini porcelain tea set ที่มีลาภเซรามิกทำออกมาจะขายในราคาเพียง 50-70 บาท/ชุด ขณะที่โรงงานในกรุงเทพฯ ขายในระดับ 100 บาท ขึ้นไป/ชุด เป็นต้น

กระทั่งปีที่ 2-3 ของการก่อตั้งโรงงานผลของการตระเวนออกงาน แสดงสินค้าในประเทศไม่ว่างานเล็ก งานใหญ่ เริ่มปรากฏ สามารถจับทิศทางรสนิยมผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของชำร่วย-มิเนียเจอร์เซรามิก ทำให้มีออร์เดอร์จากโรงงานเซรามิกใหญ่ส่งเข้ามาให้

การฉีกรูปแบบผลิตภัณฑ์ของมีลาภ ที่แตกต่างไปจากเซรามิกของโรงงานอื่นๆ ในลำปางอย่างสิ้นเชิง ทำใ ห้เขาสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการลอกเลียนแบบได้เกือบ 100% เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่า มิเนีย เจอร์เป็นงาน ที่ยาก ทำให้เซรามิกประเภทนี้ไม่ค่อยมีออกมาในตลาดราคาจำหน่าย ในท้องตลาดจึงไม่ถูกกดมากนัก

ปีที่ 3-4 หลังการตั้งโรงงาน มีลาภก็สามารถขยายโรงงานได้ทันที เพิ่มทั้งเตาเผา-คนงาน ปีที่ 5-6 เริ่มออกงานแฟร์ในต่างประเทศร่วมกันกรมส่งเสริมการส่งออก อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดตลาดต่างประเทศ ซึ่งต่อมาเขาจะร่วมออกงานด้วยทุกปี

โดยใช้ผลิตภัณฑ์มิเนียเจอร์เซรามิก ที่เป็นจุดเด่นของตนเองเป็นธงนำ ที่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้หลากหลายมากยิ่งขึ้น อาศัยการศึกษาจากนิตยสารต่างประเทศ แ ล้วนำมาดัดแปลงเอาเองเป็นหลัก

และร่วม 5 ปีของการทำตลาดต่างประเทศ มิเนียเจอร์เซรามิกของมีลาภ ก็สามารถเป็นธงนำสำหรับการเปิดตลาดส่งออกของ หจก.มีลาภเซรามิก ได้ทั้งในตลาดอเมริกา กลุ่มประเทศ EU และญี่ปุ่น กลายเป็นผลิตภัณฑ์ หลัก ที่มีลาภผลิต ขึ้นในโรงงานของเขา ภายใต้สัดส่วน ที่มากกว่า 70-80%

อย่างไรก็ตาม การส่งออกเซรามิกของมีลาภทั้งหมด โดยเฉพาะในส่วนของมิเนียเจอร์เซรามิก ที่เขาดัดแปลง-คิดค้นรูปแบบ-ดีไซน์ขึ้นมานั้น แม้ว่าจะไม่เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Made to order จากผู้สั่งซื้อก็ตาม แต่จนถึงวันนี้ เขายังไม่หาญกล้าถึงขั้นตีตรา "by meelarp ceramic ltd. part. thailand" ได้

ยังคงต้องยืมจมูกบรรดาผู้สั่งซื้อตามประเทศต่างๆ ที่มีออร์เดอร์เข้ามาหายใจอยู่

มีลาภให้เหตุผลว่า เขายังไม่อยากเสี่ยง เพราะถ้าหากเขาตัดสินใจทำแบรนด์ขึ้นมา โอกาส ที่ผู้สั่งซื้อในต่างประเทศ จะนำเอาดีไซน์สินค้า ที่เขาเคยผลิตอยู่ส่งให้โรงงานเซรามิกในแหล่งผลิตอื่นๆ ที่มีข้อได้เปรียบเรื่องต้นทุน ที่ต่ำกว่าหลายเท่าตัวอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นผู้ผลิตให้แทนก็มีอยู่สูง

เพราะผลิตภัณฑ์เซรามิกในคอลเลกชั่นต่างๆ ที่เขาทำออกมา ไม่ได้จดทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาไว้เนื่องจากเห็นว่าดีไซน์-เทรนด์สีของเซรามิก มีการเปลี่ยนแปลงทุกปี

หากต้องจดทะเบียนไว้ทุกประเภท ก็ทำกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน เพราะแต่ละปีมีลาภเซรามิก จะมีผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆ นำเสนอต่อลูกค้าไม่น้อยกว่า 200-300 รูปแบบ หนำซ้ำการก๊อบปี้สามารถทำได้ง่ายหากจะทำกัน เพียงแต่นำเอารูปแบบสินค้าไปเปลี่ยนสี เพิ่มขนาดเล็กน้อยหรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำได้แล้ว

มีลาภยังเชื่อมั่นว่า การจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา สำหรับเซรามิก คอลเลกชั่นต่างๆ ที่เขาทำออกมา ไม่มีส่วนช่วยเหลือกิจการของเขามากนัก

ขณะเดียวกันทุกวันนี้ มีลาภยอมรับว่า มีออร์เดอร์ล้นมือ ทำกันแทบไม่ทันอยู่แล้ว โดยเฉพาะช่วงตั้งแต่ปลาย ปี 2539 ที่ค่าเงินบาท ของไทยลดลง ยิ่งทำให้ลูกค้าในต่างประเทศรายใหม่ ที่ยังไม่เคยสั่งออร์เดอร์เข้ามาตัดสินใจติดต่อซื้อขายกับเรามากขึ้น

มิหนำซ้ำยังเริ่มมีลูกค้า ที่ต้องการให้โรงงานเขาผลิตเซรามิกขึ้นมาตามดีไซน์ของเขาเพิ่มขึ้นทุกระยะ

จนเขาต้องพยายามคัดเลือกเอาเฉพาะรูปแบบ ที่สามารถขายในประเทศได้ เนื่องจากตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ก่อตั้งโรงงานมาจนถึงทุกวันนี้ มีลาภยอมรับว่า ยังไม่สามารถควบคุมคุณภาพการผลิตได้ 100% ทุกครั้งจะ มีผลิตภัณฑ์ตกเกรดไม่ต่ำกว่า 20% ขึ้นไป

ทำให้เขาจำเป็นต้องเลือกออร์เดอร์ลูกค้า เพื่อให้สินค้าตกเกรดเหล่านี้มีช่องทางการระบายเข้าสู่ตลาด แทน ที่จะต้องทิ้งไปทั้งหมด ซึ่ง ที่ผ่านมาบรรดาสินค้าตกเกรดเหล่านี้มักจะถูกส่งไปขายตามตลาดจตุจักร กรุงเทพฯ-ไนท์บาซาร์ จังหวัดเชียงใหม่ มาโดยตลอดรวมทั้งเซรามิกประเภทเทเบิลแวร์ ที่ อยู่ในไลน์การผลิตของโรงงานมีลาภฯ ราว 20-30% ด้วย

นอกจากประเด็นปัญหาคุณภาพสินค้า ที่มีลาภจำเป็นต้องหาตลาดในประเทศมารองรับสินค้าตกเกรดอยู่ทุกวันนี้ แทน ที่จะสามารถทุ่มกับการผลิตเซรามิก เพื่อการส่งออก 100% แล้ว อีกปัญหาหนึ่ง ที่มีลาภ ยอมรับว่า ยังคงเป็นปัญหาสำหรับเขาทุกวันนี้ ก็คือ

การจัดการภายในองค์กร โดยเฉพาะในเรื่องของแรงงานตามฤดูกาลในท้องถิ่นของลำปาง เขาบอกว่า ด้วยฐานด้านการศึกษา ที่ไม่สูงนักของเขาทำให้ไม่มีทักษะด้านการบริหารมากนัก รูปแบบการจัดการที่เขาใช้ในโรงงานตลอด ก็เป็นลักษณะของเถ้าแก่ในอดีต

ขณะที่อุตสาหกรรมเซรามิกจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องใช้แรงงานฝีมือต้องเลี้ยงคน สั่งสมคนที่มีประสบการณ์ไว้ให้มากที่สุดเท่า ที่จะทำได้ เนื่องจากขั้นตอนการผลิตของมีลาภเซรามิก ส่วนใหญ่ ล้วนใช้มือแทบทั้งสิ้น ดังนั้น การใช้กฎระเบียบ ที่เข้มงวด 100% กับแรงงานในท้องถิ่นทำไม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น ค่าแรง ที่เขาจ่ายให้กับแรงงานนั้น แม้ว่า ระยะแรกของ คนที่เข้าทำงานใหม่ หากไม่มีฝีมือด้า นเซรามิก อยู่เลย อาจจะไม่ได้รับตาม กฎหมายแรงงาน แต่ภายในระยะเวลาเพียง 6-12 เดือน เราต้องปรับระดับ ค่าจ้างของเขาให้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำแทบทุกคน ทุกวันนี้แรงงาน ที่ทำงานในมี ลาภเซรามิก บางรายมีรายได้เ ดือนละ 2 หมื่นกว่าบาทก็มี โดยเฉพาะงาน ด้านดีไซน์

"เราต้องรักษาคนงานให้อยู่กับเรานานที่สุด เพราะ นั่นหมายถึงสัดส่วน ผลิตภัณฑ์ตกเกรด หรือความสูญเสีย ที่ เกิดขึ้นระหว่างการผลิต ที่มีอยู่ราว 20% ใ นขณะนี้ จะลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อคนงานทุกคนมีฝีมือได้มาตรฐาน" มี ลาภกล่าวย้ำ

ซึ่งนั่นหมายถึงผลกำไร ที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยแน่นอน

และในเวลาอันใกล้นี้ หลังจาก ที่เขาสามารถจัดระบบควบคุมคนงาน เพื่อให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพเต็มที่ มีลาภตั้งใจว่า จะเริ่มศึกษาแนวทางการใช้ E-commerce เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการตลาด

แต่ไม่ได้หมายถึงขั้นการเปิดช่องทางการค้าปลีกเซรามิกผ่านอินเตอร์เน็ต เพราะมีลาภเห็นว่าไม่คุ้มสำหรับโรงงานเซรามิก

โดยขณะนี้กำลังหารือกับ เพื่อนฝูงในวงการ เพื่อเริ่มต้นทำโบรชัวร์ ออนไลน์ พร้อมกับเปิด E-mail address ขึ้นมาติดต่อประสานงานกับลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ อันจะช่วยลดขั้นตอนการติดต่อประสานงาน/ค่าใช้จ่ายด้านการสื่อสารลงไปกว่า ที่เป็นอยู่อีกทางหนึ่งด้วย



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.