|

คาดปีหน้าธุรกิจบลจ.แข่งเดือด! พลิกกลยุทธ์ลงทุนยาวสู้ดอกเบี้ย
ผู้จัดการรายวัน(8 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
คาดธุรกิจกองทุนในปีหน้าแข่งเดือด หลังลูกค้าเงินฝากเฮโลโยกเงินฝากลงทุนผ่านกองทุน รวมตราสารหนี้มากขึ้น "อนุสรณ์" ชี้แนวโน้มดอกเบี้ยปรับตัวสูงสุดในช่วงกลางปี บีบ บลจ.ปรับกลยุทธ์การลงทุน หันมาออกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในระยะยาวมากขึ้น จากที่ก่อนหน้าเน้นลงทุนสั้น หวังเอาชนะดอกเบี้ยเงินฝาก
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการแข่งขันธุรกิจกองทุนรวมในปีหน้าคาดว่าจะยังคงมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
"แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้าน่าจะอยู่ในระดับสูงสุด ซึ่งทำให้กองทุนรวมหันมาออกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรหรือ ตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น โดย บลจ.บีที เตรียมออก กองทุนใหม่ๆ อีก 7-8 กองทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีหน้า โดยเน้นกองทุนที่เป็นกองทุนเปิดมากขึ้น"
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงปีหน้าเชื่อว่า ยังคงมีความผันผวน ส่งผลให้นักลงทุนหันมาลงทุน ผ่านกองทุนรวม ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่ติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนให้แก่นักลงทุน เมื่อเทียบ กับการลงทุนในตลาดหุ้นด้วยตัวเอง ขณะเดียวกัน การลงทุนผ่านกองทุนรวมยังได้รับสิทธิพิเศษด้านภาษีด้วย
นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจกองทุนในปีหน้าคาดว่า กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ยังคงได้รับการตอบรับจาก นักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ต่อเนื่องจากปีนี้ที่กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ คาดว่า บลจ.ทั้งระบบมีการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน และตราสารหนี้ของรัฐบาลประมาณ 2 แสนล้านบาท
"ในช่วงปลายปีนี้จนถึงกลางปีหน้า คาดว่ากองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นยังคงได้รับการตอบรับจากนักลงทุน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวสูงสุดในช่วงกลางปีนี้ ซึ่งทำให้ เห็นแนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ.จะปรับกลยุทธ์การออกกองทุนด้วยการหันมาออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวมากขึ้น" นายอโศกกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในช่วงปีหน้า คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวในอัตราที่สูงกว่านี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจคือ ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และกำลังซื้อในประเทศที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด รายงานถึงภาวะการลงทุนในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยระหว่างวันที่ 25-28 ตุลาคม ที่ผ่านมาว่า สภาพตลาดรอง ตราสารหนี้ ในสัปดาห์ที่ผ่าน มามีปริมาณ การซื้อขายโดย รวมเท่ากับ 55,766 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนซึ่งมีปริมาณ เท่ากับ 64,484 ล้านบาท หรือลดลง 13.52% คิดเป็น ปริมาณการซื้อขาย เฉลี่ยวันละ 13,941 ล้านบาท โดย ตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ พันธบัตรธนาคาร แห่งประเทศไทย อายุประมาณ 11 เดือน, 1 เดือน และ 1 ปี คิดเป็นสัดส่วน 12.07%, 9.87% และ 9.52% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด ตามลำดับ
สำหรับ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนในทุกช่วงอายุ โดยพันธบัตรอายุ 3 ปี ถึง 15 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 0.26-0.38% และพันธบัตรอายุ 1 เดือนถึง 2 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03-0.19% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนักลงทุนยังคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ย ในประเทศยังคงมีทิศทางสูงขึ้น ประกอบกับการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะมีการปรับขึ้น Fed Fund Rate อีกประมาณ 0.25% ในการประชุม วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มสภาพตลาดตราสารหนี้คาดว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมยังคงมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความกังวลว่าธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงใช้นโยบายการเงินปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐอเมริกา
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|