|
วิลเลจฟาร์ม"ชักธงรบตลาดไวน" ผนึกสแตรธิจิครุกใน-นอกประเทศ
ผู้จัดการรายวัน(2 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
วิลเลจ ฟาร์ม ปักธงรบธุรกิจไวน์เต็มสูบ ทุ่มงบ 10 ล้านบาทขยายไร่องุ่นพร้อม ยกเครื่องระบบการผลิตใหม่ ล่าสุดเดินหน้าแต่งตั้ง สแตรธิจิค เคเทอร์ริ่ง ทำตลาดภายใน-นอกประเทศ ประเดิมหมัดแรกเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทยจับร้านอาหาร-โรงแรมหรู หวังอนาคตผลิตไวน์ปีละ 1 แสนขวดเทียบชั้นไวน์ชาโตเดอเลย
นางกนกวรรณ พัวอมรพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วิลเลจ ฟาร์ม จำกัด ผู้ผลิตไวน์ภายใต้แบรนด์ วิลเลจ ฟาร์ม ฯลฯ เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯเริ่มดำเนินธุรกิจไวน์มาตั้งแต่ปี 2545 โดยกำลังการผลิตในช่วงแรก 2 หมื่นขวดต่อปี กระทั่งปัจจุบันกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 4.5 หมื่นขวดต่อปี และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 5 หมื่นขวดต่อปี และเพื่อดำเนินแผนการตลาดในเชิงรุกมากขึ้น จึงได้แต่งตั้งให้บริษัท สแตรธิจิค เคเทอร์ริ่ง จำกัด เป็น ผู้ดูแลด้านการตลาด ฝ่ายขาย และส่งออก ซึ่งปัจจุบันบริษัทดังกล่าวเป็นผู้จำหน่ายไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ โดยมีศูนย์กระจายสินค้า 7 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย หัวหิน พัทยา ระยอง และเชียงใหม่
สำหรับการแต่งตั้งบริษัทสแตรธิจิค ก็เพื่อให้ การกระจายสินค้าของบริษัทฯครอบคลุมทุกพื้นที่ในช่วงเดือนมกราคม จากปัจจุบันบริษัทฯมีเอเยนต์เฉพาะในจังหวัดโคราช กรุงเทพฯ และพัทยาเท่านั้น ทำให้ยังไม่สามารถกระจายสินค้าได้ครอบคลุม ในเบื้องต้นจะเน้นขยายช่องทางจำหน่ายร้านอาหารและโรงแรมระดับ 4-5 ดาวเป็นหลักก่อน โดยสินค้า ของบริษัทมี 6 ตัว เชน วิลเลจ ฟาร์ม, ชาเตอเดอบู และล่าสุดที่กำลังจะเปิดตัววิลเลจ เซอร์ร่าลงสู่ตลาดในเดือนพฤศจิกายนนี้ ราคาตั้งแต่ 390-2,000 บาท
การลงทุนปีนี้บริษัทฯใช้งบราว 10 ล้านบาท ขยายไร่องุ่นเพิ่มเป็น 300 ไร่ จากปัจจุบันมี 200 ไร่ พร้อมทั้งยังปรับปรุงพันธุ์องุ่นนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งเพิ่มกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานยิ่งขึ้น อาทิ การปรับห้องควบคุมอุณหภูมิ ทั้งนี้บริษัทฯได้วางเป้าหมายในอนาคตอันใกล้จะผลิตไวน์ให้ได้ปีละ 1 แสนขวด ใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง ชาโตเดอเลย ซึ่งมีกำลังการผลิตถึง 3 แสนขวดต่อปี
นอกจากนี้บริษัทฯยังได้เตรียมขยายตลาด ส่งออกไปยังอินโดจีน และสิงคโปร์ จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาส่งออกไปยังฝรั่งเศสภายใต้ชื่อแบรนด์ "วิลเลจ ไทย" ซึ่งในปีนี้ได้วางแผนปรับชื่อแบรนด์ใหม่เป็น "วิลเลจ ฟาร์ม" โดยปัจจุบันบริษัทฯมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 25% และภายใน ประเทศ 75% ซึ่งภายในประเทศสัดส่วนรายได้จะมาจาก ณ จุดขาย หรือที่วิลเลจ ฟาร์ม 50% ส่วนในซูเปอร์มาร์เกต โรงแรม และร้านอาหารปัจจุบันมี 25% แต่บริษัทจะเน้นขยายช่องทางดังกล่าวเพิ่มเป็น 40%
สำหรับผลประกอบการบริษัท วิลเลจ ฟาร์ม ในปีนี้ตั้งเป้ามียอดขาย 4 หมื่นขวดใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายที่เหลืออีก 1 หมื่นขวดบริษัทจะเก็บไว้ทำไวน์ คลาสสิกจำหน่าย ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทดำเนิน 2 ธุรกิจ คือ รีสอร์ต มีสัดส่วนรายได้ 30% อีก 70% เป็นธุรกิจเกี่ยวกับไวน์
นายสมชาย จันทร์เจริญสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท สแตรธิจิค เคเทอร์ริ่ง จำกัด กล่าวถึงแผนการทำตลาดว่า ในช่วงแรกเน้นเจาะกลุ่มคนไทย เป็นหลัก ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าที่เป็นคนไทย 60% และเป็นชาวต่างประเทศ 40% ส่งผลให้ในปีหน้าสัดส่วนรายได้จากการส่งออกจะลดลงจาก 25% เหลือเป็น 20% ส่วนด้านการทำตลาดภายในประเทศจะเน้นทำควบคู่กับอาหารเป็นหลัก เพราะผู้ดื่มไวน์ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมดื่มกับอาหาร ขณะที่ในช่วงไฮซีซันปลายปีนี้จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับโรงแรมและร้านอาหารเพื่อกระตุ้นยอดขาย
แนวโน้มตลาดไวน์นำเข้าและภายในประเทศในเชิงปริมาณ 1 ล้านหีบในปีนี้ไม่โต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวทางภาคใต้ เพราะกลุ่มเป้าหมายตลาดไวน์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นนักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตลาดไวน์มีอัตราการเติบโต 15% ส่วนในปีหน้าคาดว่าการ แข่งขันตลาดไวน์จะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผู้ผลิตไวน์ภายในประเทศมี 6 ราย เชน ชาลาวัน, สยาม ไวน์เนอรี่ และชาโตเดอเลย
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|