|

แบงก์เล็งขึ้นดบ.อีกระลอก วงการคาดเฟดขยับ0.25%
ผู้จัดการรายวัน(1 พฤศจิกายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
วงการแบงก์ไทย คาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันนี้ และแตะระดับ 4.25% ภายในสิ้นปี ส่งผลให้แบงก์ไทยมีโอกาสปรับดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้ได้อีกระลอก ด้านบิ๊กแบงก์ไทยพาณิชย์ ปรับเป้าเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4% จากเดิม 3.5% และปี 2549 อยู่ที่ 4.5-5.0% ขณะที่ผู้ว่าการธปท. ออกโรงแจงเงินบาทแข็ง เกิดจากเศรษฐกิจดีขึ้น และมีการนำกำไรเข้ามาจากต่างประเทศ ยันไม่มีการเข้าแทรกแซง ส่วนตลาดหุ้นไทยยังรอผลการประชุมเฟด
คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ในการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันนี้ (1 พ.ย.) คงจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งเป็นลักษณะของการทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากนัก เพราะสหรัฐฯ เองยังประสบปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากเกิดปัญหาพายุเฮอริแคทรีนา
ส่วนอัตราดอกเบี้ยของไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้น ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งต่างเตรียมออกเงินฝากรูปแบบระยะยาว เพื่อระดมทุนอัตราดอกเบี้ยคงที่ไว้ก่อน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันระดมเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์น่าจะปรับขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายในสิ้นปีนี้ แต่จะต้องขึ้นอยู่กับการบริหารเงินและการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในแต่ละแห่ง
"แบงก์ไทยพาณิชย์ ยังคงไม่มีการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ เพราะเพิ่งจะมีการปรับขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่หากแบงก์ใหญ่ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธนาคารก็จะต้องปรับขึ้นตามเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้"
คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ปัจจุบันสภาพคล่องทยอยปรับลดลง ส่วนหนึ่งเป็นสาเหตุจากการออกพันธบัตรของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ทำให้เม็ดเงินได้ไหลออกไปยังตลาดตราสาร เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากและยังมีความเสี่ยงที่ต่ำ ซึ่งขณะนี้จะต้องติดตามสถานการณ์ของตลาดทุนอย่างใกล้ชิด หากทางการออกมาตรการสนับสนุนตลาดทุนมากขึ้น จะส่งผลให้เม็ดเงินไหลเข้าไปสู่ตลาดทุนหรือตลาดหุ้น
ไทยพาณิชย์เชื่อเศรษฐกิจปีนี้โต4% ด้านอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้น คุณหญิงชฎา กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 เพิ่มขึ้นเป็น 4% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3.5% เนื่องจากการส่งออกที่มีการขยาย ตัวมากขึ้นและรายได้จากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ในปี 2549 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 4.5-5.0% โดยมีปัจจัยบวกจากการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รายได้การท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด คือเรื่องของราคาน้ำมัน หากไม่เพิ่มสูงไปกว่าระดับปัจจุบันเชื่อว่า ธุรกิจคงจะรับได้จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
สิ้นปีดอกเบี้ยเฟดแตะ4.25%
ด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จาก 3.75% มาอยู่ที่ 4.00% ในการประชุมวันนี้ และคาดว่าจะมีการปรับอีกครั้งหนึ่งในการประชุมรอบที่เหลือของปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดสิ้นปีนี้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.25%
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในวันนี้ คงจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ธปท.จะนำมาพิจารณาดำเนินนโยบายดอกเบี้ย แต่ธปท. คงจะเน้นให้น้ำหนักกับปัจจัยภายในประเทศ และเลือกปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในจังหวะเวลาที่มีความเหมาะสม พร้อมกับการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เคลื่อนไหวผันผวนจนส่งผลลบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ธปท.ยันไม่แทรกแซงค่าบาทม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง กรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ว่า เกิดจากภาวะเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีกำไรค่อนข้างสูง และนำกำไรจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศ
"แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่ ธปท.เห็นว่าไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านการค้าขายของไทย และยืนยังว่าไม่ได้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท หรือเข้าไปซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อพยุงไม่ให้ทุนสำรองทางการระหว่างประเทศลดลงแต่อย่างใด"
ส่วนการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศนั้น ขณะนี้ยังไม่กระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทย เพราะปัจจัยที่เข้ามากระทบคือการไหลเข้าออกของเงิน ซึ่งช่วงนี้เริ่มมีเงินลงทุนไหลเข้ามาจากต่างประเทศ หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยบางรายการสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยต่างประเทศ จึงส่งผลให้ตัวเลขการให้สินเชื่อเพื่อการค้าระหว่างประเทศ (trade finance) ของไทยสูงขึ้น เนื่องจากในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศต่ำกว่าของไทย ซึ่งผู้ประกอบการนำเข้าที่ต้องซื้อสินค้าจำนวนมาก เช่น น้ำมัน จะได้รับการเสนอจากสถาบันการเงินต่างประเทศให้กู้เงินเพื่อซื้อสินค้าดังกล่าวจากสถาบันการเงินต่างประเทศแทนการกู้สถาบันการเงินไทยที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า
"การกู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศ ทำให้มีเงินไหลเข้ามา ซึ่งในกรณีนี้ แม้ว่าจะเข้ามาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยและต่างประเทศที่แตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าน่าเป็นห่วง เพราะสินเชื่อดังกล่าวเป็นการซื้อขายที่มีสินค้าและธุรกรรมรองรับที่ชัดเจน" ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
"ธอส."ขยับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50%
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ธอส.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 2 ปี และ 3 ปี ขึ้นอีก 0.50% โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 2 ปี ในปีแรกคิดอัตราดอกเบี้ยจากเดิม 4% เพิ่มขึ้นเป็น 4.5% และปีที่ 2 จากเดิม 4.2% เพิ่มขึ้นเป็น 4.7% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 3 ปี ในปีแรก คิดอัตราดอกเบี้ย 3.5% เพิ่มขึ้นเป็น 4% ปีที่ 2 จากเดิม 4.5% เพิ่มขึ้นเป็น 5% และปีที่ 3 จากเดิม 5.5% เพิ่มขึ้นเป็น 6% รวมทั้ง ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ขึ้นอีก 0.25% จากเดิม 6.75% เป็น 7%
ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว 5 ปี และ 10 ปี ยังไม่มีการปรับขึ้น เนื่องจากธนาคารได้มีการออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินไปแล้ว อีกทั้งธนาคารยังต้องการให้ประชาชนเข้ามาขอสินเชื่อ เพราะมองว่าจะช่วยลดภาระของลูกค้าในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2548 นี้ธนาคารจะไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้อีก แม้ว่าธปท.จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี อีกครั้ง ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนธันวาคม 2548 นี้ ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปี 2549 คาดว่าจะปรับขึ้นได้อีก โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับอัตราเงินเฟ้อ
ด้านภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้( 31 ต.ค.) ตลอดทั้งวันดัชนีแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ก่อนปิดที่ 682.62 จุด เพิ่มขึ้น 0.37 จุด หรือ 0.05% มูลค่าการซื้อขาย 7,467.15 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 428.44 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 167.27 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 261.16 ล้านบาท
ตลาดหุ้นยังรอผลประชุมเฟด
นายอมเรศ สิงห์ณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นช่วงนี้นักลงทุนยังรอการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ โดยปัจจัยหลักเป็นเรื่องการรอความชัดเจนเกี่ยวกับการประกาศนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ (1 พ.ย.) แม้ว่าหลายฝ่ายจะมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นจะไม่ต่างจากครั้งก่อน
"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย เพราะหากมีการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนจะเป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น เห็นได้จากค่าเงินบาทที่ยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆและมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ตาม ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ เชื่อว่าจะไม่แตกต่างจากวานนี้ โดยจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆในกรอบ 680-686 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังรอความชัดเจนของแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ยกเว้นจะมีข่าวดีเข้ามาหนุนอย่างชัดเจน โดยคาดว่าแนวรับจะอยู่ที่ 680 จุด และแนวต้านที่ 686 จุด
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|