"องค์กรรวมค้าปลีกเข้มแข็ง" เริ่มต้นพิกล..อนาคตก็พิการ


ผู้จัดการรายวัน(12 พฤศจิกายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็ง เกิดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันอังคารที่ 7 พฤษภาคม 2545 โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณ 395 ล้านบาทจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความเข้มแข็งแก่ร้านค้าปลีกรายย่อย โดยมีเป้าหมายที่จะระดมร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการ 100,000 ราย ภายในกำหนดเวลา 5 ปี ร้านค้าปลีกรายย่อยแต่ละร้านมีวงเงิน สินเชื่อ 100,000 บาท ทั้งนี้ด้วยการใช้บริการสินเชื่อห้องแถว จากธนาคารออมสิน องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็งจะมีวงเงินสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตในการ ซื้อสินค้าต่างๆ โดยได้รับส่วนลดที่ผ่อนปรนภายใต้เงื่อนไขเดียวกับที่ Discount Stores ได้รับ

ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลเชื่อว่าองค์กรมหาชนรวมค้าปลีก เข้มแข็งจะช่วยให้ร้านค้าปลีกรายย่อยสามารถซื้อสินค้าในราคาถูกลง ได้ และอยู่ในฐานะที่จะแข่งขันในธุรกิจการค้าปลีกได้ดีขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ก็จะช่วยลดสภาพคล่องล้นเกินในภาคเศรษฐกิจการเงิน เนื่องจากจะมีการปล่อยกู้แก่ร้านค้าปลีกรายย่อยมากขึ้น

อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เคย วิเคราะห์ไว้ในคอลัมน์ "จากสนามหลวงถึงท่า พระจันทร์ "ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเมื่อช่วงที่องค์การแห่งนี้เพิ่งจัดตั้งเอาไว้ว่าองค์การฯนี้ ไม่เพียง แต่จะสร้างผลเชื่อมโยงระหว่างภาคการ ค้าปลีกกับภาคเศรษฐกิจการเงินเท่านั้น หากยังสามารถสร้างผลเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ได้ด้วย ดังเช่นการสร้างผลเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) และการ สร้างผลเชื่อมโยงไปสู่โครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ" เพราะองค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้ม แข็งอยู่ในฐานะที่จะรับผลผลิตจาก SMEs และชุมชนในภูมิภาคต่างๆ มาจัดจำหน่ายได้

ทว่า องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็ง หรือองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย ในทัศนะของอ.รังสรรค์ ยังมีปัญหาต้องเผชิญมากมาย ซึ่ง ขณะนั้นอ.รังสรรค์ มองว่า การสร้างความเข้มแข็ง แก่ธุรกิจการค้าปลีกรายย่อย มิได้อยู่ที่การสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตเพื่อให้ได้ส่วนลดในระนาบเดียวกับธุรกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่เท่านั้น หากยังอยู่ที่การพัฒนาทักษะและความสามารถในการประกอบการของธุรกิจการค้าปลีก รายย่อยอีกด้วย องค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยจึงถือเป็นหน้าที่ในการพัฒนาผู้ค้าปลีกรายย่อยให้มีการจัดการที่ดี

การดึงร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการ เป็นปมเงื่อนสำคัญของการดำรงอยู่ขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย หากปราศจากผู้เข้าร่วม โครงการเสียแล้ว โครงการนี้ย่อมล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ด้วยเหตุดังนี้ รัฐบาลจึงออกแบบโครง การด้วยการให้สิ่งจูงใจในการดูดดึงผู้เข้าร่วมโครง การอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านหนึ่งได้แก่ การได้รับบริการสินเชื่อห้องแถว จากธนาคารออมสินอย่าง น้อยรายละ 100,000 บาท อีกด้านหนึ่งได้แก่ การ ได้รับอภัยโทษด้านภาษีอากร โดยกระทรวงการคลังให้คำมั่นว่าจะไม่ตรวจสอบการเสียภาษีย้อน หลัง ด้วยโครงสร้างสิ่งจูงใจดังกล่าวนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดเป้าหมายว่า จะระดมร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการให้ได้ 10,000 รายภายใน 6 เดือนแรก

นโยบายการสถาปนาองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยมีผลตรงกันข้ามกับนโยบายการถ่าย โอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายขายรัฐวิสาหกิจให้แก่เอกชน กระทรวงการคลังกำหนดแผนและเร่งรัดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถึง กับจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ตัวนายกรัฐมนตรีเองกล่าวถึงความไร้ประสิทธิ ภาพของรัฐวิสาหกิจและองค์กรอื่นของรัฐอยู่เนืองๆ แต่แล้วกลับตัดสินใจจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อประกอบกิจการโชวห่วย ถึงจะจัดตั้งเป็น องค์กรมหาชน มิได้จัดองค์การในรูปรัฐวิสาหกิจ และพยายามบริหารเยี่ยงธุรกิจเอกชน แต่ปัญหาพื้นฐานที่ดำรงอยู่จะทำให้องค์กรมหาชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ไม่มีประสิทธิภาพในการประกอบการ มิหนำซ้ำยังเอื้อต่อการใช้อำนาจทาง การเมืองในการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐกิจอีกด้วย

รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วาดฝันว่า ด้วยการสถาปนาองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทย ร้านค้าปลีกรายย่อยจะมีความเข้มแข็งถึงขั้นที่จะต่อกรกับธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศได้ การวาดฝันเช่นนี้ ย่อมเกินเลยจากความเป็นจริงโดยมิพักต้องสงสัย ถึงองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยจะเติบใหญ่ จนในภายหลังมีขนาดไม่ยิ่งหย่อนกว่า Tesco Lotus หรือ Makro แต่มีเหตุผลน่าเชื่อว่า องค์การโชห่วยแห่ง ประเทศไทยมิได้มีประสิทธิภาพในการประกอบการเทียบเทียมยักษ์ใหญ่ในธุรกิจการค้าปลีกเหล่า นั้น เพราะองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยมิได้มี ความเป็นเจ้าของที่ชัดเจน ในขณะที่ Tesco Lotus และ Makro มีความเป็นเจ้าของที่ชัดเจน ผู้เป็นเจ้าของย่อมควบคุมและกำกับให้ฝ่ายบริหาร ประกอบกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งจูงใจ เช่นนี้จะไม่มีอยู่ในองค์กรที่ความเป็นเจ้าของไม่ชัดเจน โดยที่องค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยอยู่ในข่ายนี้ถึงองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยจะได้รับส่วนลดจากผู้ผลิตในอัตราเดียวกับที่ Tesco Lotus และ Makro ได้รับ หากประสิทธิภาพในการประกอบการต่ำกว่า ย่อมทำ ให้ราคาสินค้าที่ขายสูงกว่ายักษ์ใหญ่ในธุรกิจการ ค้าปลีกเหล่านี้

ในประการสำคัญ องค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยต้องเสียต้นทุนการกระจายสินค้าสูง กว่า เนื่องจากต้องกระจายสินค้าแก่ร้านค้าปลีกรายย่อยจำนวนมาก โดยที่แต่ละร้านสั่งซื้อสินค้า แต่ละรายการจำนวนไม่มาก มิไยต้องกล่าวว่า การ ฉ้อราษฎร์บังหลวงและการแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนบุคคลของผู้มีอำนาจทางการเมืองจะมีผลซ้ำเติมฐานะการประกอบการขององค์การโชห่วย แห่งประเทศไทย โดยไม่ต้องสงสัย

อ.รังสรรค์ ยังมองว่า หากรัฐบาลต้องการ แทรกแซงธุรกิจการค้าปลีก รัฐบาลมิจำต้องแทรกแซงด้วยการกระโดดเข้าไปเป็นผู้ประกอบการเอง ดังเช่นการก่อตั้งองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทย รัฐบาลสามารถแทรกแซงโดยอ้อม ด้วยการกำหนดนโยบาย กฎกติกา และการจัดระเบียบธุรกิจ เริ่มต้นด้วยการสกัดธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ รัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ดำเนินนโยบายการเปิดเสรีการค้าปลีกเกินเลยกว่าระดับที่มีข้อผูกพันกับองค์การการค้าโลก วิกฤติการณ์การเงินปี 2540 ยิ่งทำให้รัฐบาลไม่กล้าแตะต้องบรรษัทระหว่างประเทศ เพราะกริ่งเกรงการไหลออกของ เงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลในการซ้ำเติมวิกฤติ การณ์การเงินที่ดำรงอยู่

"นอกจากการงับประตู เพื่อสกัดการไหลบ่าเข้ามาของธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศแล้ว รัฐบาลยังสามารถกำหนดกฎกติกา และจัดระเบียบให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ประกอบการเฉพาะเมืองขนาดใหญ่ และกำกับทำเลที่ตั้งด้วย ในประการสำคัญ กระทรวงพาณิชย์สามารถใช้กฎ หมายการแข่งขันทางการดำเนินการควบคุมและกำกับธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่มิให้รังแกร้านค้า ปลีกรายย่อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดปรากฏการณ์ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ได้

หากรัฐบาลยังมิได้งับประตูเพื่อสกัดการไหล บ่าของบรรษัทระหว่างประเทศที่เข้ามาประกอบธุรกิจการค้าปลีก และมิได้จัดระเบียบธุรกิจการค้าปลีกเพื่อให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและปราศ จากการผูกขาด การจัดตั้งองค์กรของรัฐเพื่อประกอบกิจการโชวห่วย มิอาจช่วยให้ร้านค้าปลีก รายย่อยมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ เพราะองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีปัญหา ในตัวของมันเองอยู่แล้ว บรรดาผลเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่วาดฝันอย่างเลิศหรู ไม่ว่าจะเป็นผลเชื่อมโยงที่มีต่อ SMEs หรือที่มีต่อโครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง เลื่อนลอย เพราะร้านค้าปลีกรายย่อยมีพื้นที่ประกอบการจำกัด ร้านค้าเหล่านี้จะรับสินค้าอะไรมาขาย ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและทำเล ที่ตั้ง รวมตลอดจนอัตราผลตอบแทนสัมพัทธ์ที่ได้รับจากการขายสินค้าแต่ละประเภท

สุดท้ายอ.รังสรรค์ ได้ทำนายอนาคตของการจัดตั้งองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยนี้ว่า มิใช่นวัตกรรมด้านนโยบาย เพราะแนวนโยบายลักษณะนี้ปรากฏมาก่อนแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ไม่ว่าจะเป็นองค์การสรรพาหาร สำนักงานข้าว องค์การคลังสินค้า องค์การค้าของคุรุสภา ฯลฯ หากบทเรียนจากประวัติศาสตร์สามารถให้คำทำนายที่ถูกต้องแม่นยำ เมื่อองค์การโชวห่วยแห่ง ประเทศไทยก่อเกิดด้วยอำนาจการเมือง การใช้อำนาจการเมืองในการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐ-กิจจากองค์กรแห่งนี้เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ ความจำกัดของทรัพยากรอาจทำให้สินเชื่อห้องแถวของธนาคารออมสินกระจุกอยู่ในบางท้องที่ของนักการเมืองที่มีอิทธิพล หรือในจังหวัดที่เป็น ฐานที่มั่นทางการเมืองของพรรครัฐบาล

การขาดความสำนึกในความเป็นเจ้าของอาจทำให้การบริหารจัดการขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างหละหลวม การรุมทึ้งองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยจะเกิดขึ้นเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแก่องค์การสรรพาหาร สำนักงานข้าว องค์การคลังสินค้า และองค์การค้า ของคุรุสภา ประชาชนคนไทยควรจะเตรียมตัวเตรียมใจรอรับภาระอันเกิดจากมรณกรรมขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย และควรสวดภาวนาให้ธนาคารออมสินสามารถเรียกคืนสินเชื่อ ห้องแถวได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.