|

"แสนสิริ"เปิดนโยบายปี49 ลุยขยายตลาดระดับกลาง
ผู้จัดการรายสัปดาห์(13 ตุลาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนบวกกับปัจจัยลบจากภายในและนอกประเทศที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต้องปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ในช่วงที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจัดสรรหลายรายทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างก็หันมาทำตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง และเป็นตลาดเดียวที่ยังมีกำลังซื้อ หลังจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อในตลาดระดับบนและระดับล่างชะลอตัวลง แม้ว่าจะมีบริษัทลูกอย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด และมีพันธมิตรอย่าง บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ทำตลาดบ้านระดับกลางอยู่แล้ว ประกอบกับ บมจ.แสนสิริ เองจับตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนมาโดยตลอด แต่ด้วยภาวะการแข่งขันและสถานการณ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป แสนสิริ จึงจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
วันจักร์ บุรณศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.แสนสิริ หรือ SIRI กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 49 ว่า บริษัทมีนโยบายขยายฐานลูกค้าตลาดบ้านระดับกลางที่มีราคาขาย 3-9 ล้านบาทมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และสถานการณ์ทางการตลาด โดยเน้นลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์สราญสิริ และเศรษฐสิริ มากกว่าการลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านแสนสิริ และนราสิริ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับบน
สำหรับแบรนด์ สราญสิริ และ เศรษฐสิริ เจาะตลาดบ้านระดับกลางถึงกลางบน โดย สราญสิริ มีราคาขายเฉลี่ย 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต ส่วน เศรษฐสิริ มีระดับราคาขาย 5-10 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะที่ บ้านแสนสิริ และ นราสิริ เจาะตลาดบ้านระดับบน โดย นราสิริ มีราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท ส่วน บ้านแสนสิริ เจาะตลาดบ้านหรูที่มีราคาขายตั้งแต่ 26-54 ล้านบาทต่อยูนิต
โดยหลังจากปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนแล้วจะทำให้สัดส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านแสนสิริและนราสิริจะลดลงจาก 60% เหลือ 40% ในปีหน้า ในขณะที่แบรนด์เศรษฐสิริจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 45% ส่วนแบรนด์สราญสิริจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 15%
"ตลาดบ้านระดับกลางมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น การเข้ามาทำตลาดของ แสนสิริ จึงต้องนำกลยุทธ์ mass marketting มาใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด ควบคู่ไปกับการเลือกทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ โดยในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเน้นลงทุนในทำเลเกาะติดถนนสายหลัก หรือเกาะแนววงแหวน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ส่วนทาวน์เฮาส์จะเน้นการลงทุนในทำเลเกาะติดแนวรถไฟฟ้า"
สำหรับในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยมีผลกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 47 ที่มีผลกำไร 500 ล้านบาท โดยในปีหน้าคาดว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโต 15-20% จากปีนี้ ในขณะที่ตลาดอสังหาฯ โดยรวมน่าจะมีอัตราการเติบโต 5% ในปีหน้า
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|