โบรกฟันธงหุ้น KBANK 85 บาท


ผู้จัดการรายสัปดาห์(13 ตุลาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังจากวิกฤติการเงินเมื่อปี 2540 รัฐบาลได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินด้วยการเพิ่มสำรองหนี้จัดชั้นแต่ละประเภท ส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งมีภาระที่ต้องออกตราสารหนี้เพื่อระดมทุนมาใช้ในการตั้งสำรอง ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งต่างมุ่งจัดการกับปัญหาหนี้ที่เกิดจากช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวในเชิงธุรกิจของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็เงียบหายไป

ธนาคารกสิกรไทยถือเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มองเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงเริ่มดำเนินการปรับโครงสร้างภายในด้วยการทำ Re-engineering องค์กร ด้วยการลดจำนวนพนักงานที่ไม่จำเป็นออก เพื่อลดต้นทุนของธนาคารและลดพนักงานส่วนเกินที่ไม่สร้างประสิทธิภาพกับองค์กร ภายใต้การนำทัพของบัณฑูร ล่ำซำ

พร้อมกับการตัดบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่ไม่สำคัญออก โดยมุ่งไปที่ตัวธนาคารเป็นหลัก ตามด้วยการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้นมาใหม่ เพื่อโอนหนี้เสียออกจากธนาคารแล้วให้บริษัทบริหารสินเทรัพย์ติดตามหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ของตนเอง จนกระทั่งมีการจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) จึงได้โอนหนี้ด้อยคุณภาพไป บสท.

หลังจากนั้นเมื่อสภาพเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น กสิกรไทยเริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้น การรวบรวมอาณาจักรของกสิกรไทยจึงเริ่มขึ้น ด้วยการเลือกเฉพาะส่วนที่จะเป็นการสร้างความเติมเต็มให้กับธนาคารที่สามารถให้บริการครบวงจรได้

ทุกวันนี้ธนาคารกสิกรไทย มีบริษัทหลัก ๆ ในเครือที่พร้อมให้บริการอีก 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท แฟคเตอริ่งกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด บริษัท ลิสซิ่งกสิกรไทย จำกัด นอกจากนี้กสิกรไทยยังคงเดินหน้าในการเปิดให้บริการข้ามไปยังประเทศจีน ที่กำลังเป็นยักษ์ใหญ่ของเอเชีย

ขณะเดียวกันกระบวนการในการสร้างชื่อให้กับธนาคารกสิกรไทยก็ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หลายคนอาจเคยรู้จัก e-girls หรือ ล่าสุดอย่าง KHEROES ที่มุ่งเน้นยกระดับการให้บริการให้ได้มาตรการของกสิกรไทย

ในส่วนของการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักอย่างธนาคารพาณิชย์ ถึงวันนี้ภาระตราสารหนี้ที่ออกมาเพื่อใช้ในการตั้งสำรองหมดไป ขณะที่กำไรของธนาคารยังสูงพอที่จะจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลได้ โดยในครึ่งปีแรกมียอดจ่ายภาษีถึง 1,119 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ที่กำลังประกาศออกมา หากประเมินจากบทวิเคราะห์ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่คาดการณ์กำไรของกสิกรไทยหรือ KBANK อาจจะออกมาไม่สูงมากนัก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับนโยบายการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญใหม่ ซึ่งเป็นการเพิ่มการกันสำรองที่สูงกว่าครึ่งปีแรก ที่ยังไม่มีการแจ้งอัตราที่แน่นอน แต่คาดการณ์กันว่าทางกสิกรไทยคงจะเพิ่มการสำรองหนี้ขึ้นไปถึงระดับ 70%

ที่ผ่านมากสิกรไทยเคยเป็นข่าวว่าอาจจะถูกธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าตรวจสอบในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในธนาคารกรุงไทย จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการผู้จัดการกันใหม่ ดังนั้นการเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองแม้จะส่งผลกระทบต่อสายตาบุคคลภายนอกที่อาจมองว่าคุณภาพหนี้ของธนาคารไม่ดีนัก แต่ก็เป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด แม้จะกระทบกับผลการดำเนินงานของธนาคารก็ตาม

ทั้งนี้จากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด(มหาชน) ได้ให้เป้าหมายราคาหุ้น KBANK ในปี 2549 สูงถึง 85 บาท โดยกำไรในไตรมาส 3 ปี 2548 นั้นคาดการณ์ว่ากำไรจะลดลงเนื่องจากการเพิ่มการตั้งสำรอง ซึ่งในรอบครึ่งปี 2548 กำไรของกสิกรไทยเพิ่มขึ้นมาสูงกว่าที่เคจีไอคาดหมายถึง 30% เป็นผลมาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ดี จึงได้ปรับประมาณการส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก 3.4% ขึ้นเป็น 3.6% และคงเป้าอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ 6.5% และน่าจะเติบโตในช่วงไตรมาส 4 ของปี

อย่างไรก็ตามการเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับกสิกรไทยไทยทั้งทางด้านการเงิน ด้านการให้บริการและด้านการสร้างแบรนด์ แบงก์รวงข้าวยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้กล่าวถึงเหตุของการเตรียมความพร้อมของกสิกรไทยไว้อย่างน่าสนใจไว้ เรื่องการเปิดเสรีทางการเงินระหว่างไทยกับสหรัฐนั้น อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่กับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของไทย กลุ่มทุนขนาดใหญ่จากต่างชาติที่จ้องเข้าซื้อกิจการธนาคาร เป็นสาเหตุหลักที่ค่ายกสิกรไทยต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ของไทย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.