"ถ้าพูดถึงนาฬิกาสวิสเราอยู่ในกลุ่ม TOP 5 ของโลก และมียอดจำหน่ายเติบโตขึ้น
10 เท่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับการขยายตัวเพียง 2 เท่าของตลาดนาฬิกาสวิส
ในช่วงเดียวกัน ซึ่งเราเชื่อว่าแนวโน้มของแทคฮอยเออร์ในตลาดยังอยู่"
ส่องสกุล สมิตะเกษตริน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ. ซี. ไอ. (ประเทศไทย)
จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาแทคฮอยเออร์ (TAG HEUER) ในประเทศไทย กล่าวอย่างภาคภูมิใจถึงการเติบโตของแทคฮฮยเออร์
แม้ว่าเธอจะเข้ามาร่วมงานเอ.ซี.ไอ.ได้ประมาณแค่ 1 เท่านั้น แต่เธอรู้สึกดีใจที่ได้เข้ามาทำตรงนี้
"เพราะได้มีส่วนรับผิดชอบนโยบายด้านการตลาดของแทคฮอยเออร์ซึ่งเป็นสินค้าคุณภาพ"
เธอให้เหตุผลสั้น ๆ
หลังจากเรียกจบจากรั้วธรรมศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาด
เธอก็ได้ไปทำงานเป็นแอร์โอสเตสกับสายการบินแห่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่จะลงมาหางานทำบนดิน
"เพราะมองว่าถ้าอายุมากขึ้นและจำเป็นต้องออกจากแอร์ฯ แล้วจะไปทำอะไร ก็เลยเดินออกมาก่อนจะถึงเวลานั้น
เริ่มจากเข้าไปเป็น PIONEER STAFF ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับงานบริการที่ฮาร์ดร็อค
คาเฟ่ และมีโอกาสเข้าทำงานที่เซ็นทรัล เทรดดิ้ง รับผิดชอบการเปิดตลาดของนาฬิกาอีเบล"
เธอเปิดเผย
ซึ่งในช่วงนี้ได้เจอกับสมชัย ตัณมานะศิริ ซึ่งก็คือประธาน เอ. ซี. ไอ.
ในปัจจุบัน ก่อนที่เธอจะออกไปทำงานฝ่ายขายที่บริษัท คาโอคอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย)
จำกัด พร้อมๆ กับสำเร็จปริญญาโทบริหารธุรกิจที่เอแบค
หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกันพักใหญ่ เธอจึงตัดสินใจมาเป็นกำลังสำคัญของแทคฮอยเออร์
"โดยจะเน้นเป็นพิเศษทางด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการขาย"
เธอได้กล่าวถึงการแข่งขันในตลาดนาฬิกาว่านับวันจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการการปรับลดอัตราภาษีขาเข้าเหลือเพียง
5% ซึ่งเป็นเหตุจูงใจให้มีการนำเข้านาฬิกามาจำหน่ายในประเทศไทยมากขึ้น
"ตั้งแต่ 3-4 ปีที่ผ่านมามี CHAIN นาฬิกาเข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยอย่างมากและมีการนำเข้านาฬิกายี่ห้อใหม่ๆ
เข้ามามากพอสมควรส่วนอัตราภาษีขาเข้าที่ปรับลดลงนั้นไม่มีผลกระทบต่อเราโดยตรงมากนัก
เนื่องจากราคาที่ตั้งไว้ใกล้เคียงกับราคาที่ฮ่องกงและสิงคโปร์" ส่องสกุล
กล่าว
ปัจจุบันแทค ฮอยเอร์มีส่วนแบ่งในตลาดนาฬิกาสวิส เป็นอันดับ 3 รองจากโรเล็กซ์และราโด
โดยส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเป้าหมายในเมือง ซึ่งในปี 2540 จะเริ่มแผนการตลาดในส่วนภูมิภาพและได้มีการวางตลาดครอบคลุมทุกภาคแล้ว
รวมถึงห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกในกรุงเทพฯ
เนื่องจากเชื่อว่าตลาดภูมิภาพยังมีศักยภาพทางการตลาด และแทค ฮอยเออร์มีฐานลูกค้าที่ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับ
BRAND อื่นในระดับเดียวกัน โดยพิจารณาจากปัจจัยทางด้านสถานะทางสังคม กลุ่มลูกค้าของแทค
ฮอยเออร์ จะมีตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงกลุ่มที่เริ่มทำงานและระดับผู้บริหาร
"จะเห็นว่าแทค ฮอยเออร์ไม่ใช่ NICHE MARKET เราพยายามจะเจาะตลาดโดยการกระจายไปทุกพื้นที่
นั่นจึงเป็นที่มาของการกระตุ้นตลาดในต่างจังหวัดและแถบชานเมือง เช่น รังสิต
บางนา" ส่องสกุล เปิดเผย
สำหรับการส่งเสริมการขายส่องสกุลกล่าวอย่างหนักแน่นว่าแทค ฮอยเออร์หลีกเลี่ยงที่จะใช้การส่งเสริมการขายด้วยการลดราคามาเป็นตัวเพิ่มยอดขาย
เนื่องจากเกรงผลกระทบในเรื่องของภาพลักษณ์ จึงหลีกเลี่ยงที่การส่งเสริมการขายด้วยวิธีนี้
"เท่าที่ผ่านมาถ้าไม่เป็นอภินันทนาการที่ให้แก่ลูกค้าในช่วงเทศกาลหรือเปิดตัวสินค้าใหม่ก็จะเป็นการทำโปรโมชั่น
เพื่อความร่วมมือและความสัมพันธ์กับลูกค้า ทั้งนี้เพราะเรามั่นใจว่สินค้าสามารถขายได้ด้วยตัวของมันเอง"
ส่องสกุล เปิดเผย
ถ้าหันมาดูด้านการเติบโตของรายได้ในประเทศไทยของแทค ฮอยเออร์ ส่องสกุลคาดว่ารายได้ปีนี้จะสูงกว่าปีที่ผ่านมา
หากไม่เป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย
"แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งและสินค้าที่ยี่ห้ออื่น แล้วเราได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจน้อยกว่าบางรายและคาดว่าปีนี้รายได้จะมีอัตราการเติบโตอยู่แถวๆ
20% ทั้งนี้เนื่องมาจากแผนการส่งเสริมการขายและการกระตุ้นตลาดในวงกว้าง การออกสินค้ารุ่นใหม่ๆ
แลสภาวะเศรษฐกิจที่หวังว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น" ส่องสกุล
กล่าว
และถ้าเปรียบเทียบกันในภูมิภาคเอเชียแล้วปรากฏว่าแทค ฮอยเออร์ในประเทศไทยสามารถทำรายได้ให้บริษัทแม่ในสวิตเซอร์แลนด์เป็นอันดับ
3 รองจากญี่ปุ่นและฮ่องกง ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่บริษัทแม่ให้ความสำคัญอย่างมาก
"บริษัทแม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเราในด้านการตลาดอย่างมาก เช่น พยายามจะไม่ให้ราคาสินค้าในภูมิภาคนี้ต่างกันมากนัก
นอกจากนี้การทำโฆษณายังใช้นโยบายที่กำหนดโดยบริษัทแม่ โดยปรับเข้ากับสภาพตลาดท้องถิ่นตามความเหมาะสม
และสำหรับปีนี้เราใช้งบโฆษณาอยู่ที่ 10-13% จากเป้าหมายการขายรวม" ส่องสกุล
เปิดเผย
ทีนี้ก็ต้องมาติดตามกันต่อว่าแทค ฮอยเออร์ จะสามารถแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้นหรือไม่โดยใช้กลยุทธ์ไม่ลด
แลก แจก แถม ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างนี้?