ก้าวใหม่เอสจีวี-อาเธอร์แอนเดอร์เซ่นปี'34 หลังจากยุกต์ ณ ถลางวางมือ


นิตยสารผู้จัดการ( มกราคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

ปี พ.ศ.2534 นี้ ศจ.ยุกต์ ณ ถลาง ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหมายเลขหนึ่งก็จะล้างมือในอ่างทองคำขณะที่มีอายุ 78 ปี เหลือไว้แต่ตำแหน่งประธานกรรมการเอสจีวีกร๊ปเท่านั้น แต่งานบริหารส่วนใหญ่ได้วางมือสิ้นเชิงให้กับประธานกรรมการบริหารคนใหม่ชื่อ มาริษ สมารัมภ์ ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงพร้อมกับทีมงานบริหารซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิดูแล "เอสจีวีกรุ๊ป" สำนักงานสอบบัญชีและที่ปรึกษาธุรกิจเก่าแก่อายุ 24 ปีแห่งนี้

"การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ในครั้งนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับการเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่มสำนักงาน อาร์เธอร์ แอนเดอร์เซ่นซึ่งเป็นสำนักงานให้บริการด้านวิชาชีพสอบบัญชีและปรึกษาธุรกิจระดับโลก ซึ่งจะทำให้สำนักงานสามารถขยายบริการใหม่ได้เหมาะสม" ศจ.ยุกต์เล่าให้ฟัง

เมื่อ 6 ปีที่แล้วนับตั้งแต่ที่เอสจีวีได้เข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่น ทิศทางการปรับขายแนวธุรกิจที่แตกตัวจากการเป็นสำนักงานตรวจสอบบัญชีเอสจีวีได้เกิดขึ้นชัดเจนในปีนี้ เป็นบริการที่ปรึกษาด้านภาษีอากร เทคโนโลยี การสรรหาผู้บริหารเข้าลักษณะบริการครบวงจรแบบยิงนกหลายตัวด้วยกระสุนนัดเดียว

"หลังจากนั้นเมื่อเราเริ่มต้นศึกษาโครงการให้ลูกค้าแล้วเขาตัดสินใจมาลงทุน ทางเราก็จะส่งต่อให้คุณนิกร์กานต์รับจดทะเบียนบริษัท และถ้าหากเขาต้องการวางระบบบัญชีเข้ากับกฏหมายไทยก็จะส่งงานนี้ต่อไปให้คุณธวัช รวมทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจหรือจัดหาคนให้เขา ในขั้นต่อไปถ้าเขาจะเข้าตลาดหุ้น เราก็ทำคำร้องตามกฏระเบียบของตลาด ฯ ได้หรือจะขอส่งเสริมจากบีโอไอเราก็ทำให้ได้" นี่คือบริการที่ศจ.ยุกต์เล่าให้ฟัง

แนวโน้มของการให้คำปรึกษาเชิงธุรกิจเช่นว่านี้ได้เกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นซึ่งจัดว่าเป็นยักษ์ใหญ่หนึ่งในหกของโลกและมีกิจการสำนักงานสอบบัญชี-ที่ปรึกษาธุรกิจทั่วโลก 50 แห่ง ปีที่แล้วสามารถทำรายได้จากกลยุทธ์การดำเนินงานนี้ประมาณ 104 พันล้านบาท

การเข้ามาร่วมกับเอสจีวีในไทยเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านมาตรฐานบริการและผลประโยชน์ให้กับเอสจีวีอย่างมาก ประการแรก อาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นมีความเป็นเลิศในเรื่อง Information system หรือเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก เอสจีวีสามารถใช้จุดเด่นบริการด้านนี้ขยายกิจการบริษํทให้ครอบคลุมกว้างขวางขึ้นได้

"เรามีซอฟท์แวร์แมคแพค-ของอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นที่นำมาดัดแปลงให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า อย่างเช่นเราทำให้กับลีเวอร์บราเธอร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตตั้งแต่นำเข้าวัตถุดิบค่าแรง โสหุ้ยต่าง ๆ จะได้ข้อมูลที่ทันสมัยและรวดเร็วมาก เหมาะสำหรับการบริหารและการตัดสินใจ" ศจ.ยุกต์ เน้นถคงบทบาทของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในข้อมูลที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพ

ประการที่สอง-เอสจีวีสามารถใช้ลักษณะ NETWORK WORLDWIDE ของอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นที่มีผู้เชี่ยวชาญและข้อมูลอยู่ทั่วโลก 50 แห่ง เกื้อหนุนการให้บริการคำปรึกษาแก่ลูกค้าที่เป็นนักลงทุนไทยหรือนักลงทุนต่างประเทศได้กว้างขวาง

"สมมุตว่าลูกค้าคนไทย เช่น แบงก์พาณิชย์ที่อยากจะขยายไปเปิดสาขาหรือสำนักงานตัวแทนแบงก์ที่ยุโรปตะวันออก เราก็มีสำนักงานอยู่ที่บรัสเซลส์และที่อื่นอีก 12 ประเทศ บริการคำปรึกษาให้เขาหรือจุไปลงทุนเมืองจีนก็เช่นเดียวกัน เรามีข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญพร้อม" ศจ.ยุกต์เล่าให้ฟังถึงเครือข่ายที่ให้บริการรอบโลกของอาเธอร์แอนเดอร์เซ่น

นอกจากนี้การเป็น MEMBER FIRM ของอาเธอร์ แอนด์เดอร์เซ่นยังนำมาซึ่งลูกค้าที่เป็นบริษัทข้ามชาติ (MULTINATIONAL) อีกด้วย เช่น คาลเท็กซ์ แบงก์มิตซุยและแบงก์อเมริกา การได้ทำงานตวจสอบบัญชีที่มีมาตรฐานระดับโลกก็จะเป็นการช่วยพัฒนาคนของเอสจีวีกรุ๊ปได้ในเวลาเดียวกัน

"ผมส่งคนไปเรียนและทำงานตรวจสอบบัญชีที่เมืองนอกเช่นผมส่ง สมคิด เตียตระกูลไปทำงานที่โอกลาโฮมาเพื่อให้เขาซาบซึ้งกับการทำงานด้านแก๊สกับน้ำมัน หรือธีระพงษ์ แก้วรัตนปัทมาไปทำงานแบงก์ที่นิวยอร์ก นอกจากนั้นยังส่งประสิทธิ์ มุสิกพันธุ์ไปออสเตรเลียและคนอื่น ๆ เช่นประภาศรีไปทำงานที่ญี่ปุ่น เพื่อเขาจะได้มีประสบการณ์กว้างขึ้น นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่ผมถือว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคร" ศจ.ยุกต์เล่าให้ฟัง

และประการสุดท้ายในฐานะเอสจีวีกรุ๊ปเป็นยักษ์เล็กแห่งภูมิภาคเอเซียที่มีสำนักงานบัญชีระหว่างประเทศใน 10 บริษัทได้แก่สำนักงานที่ฟิลิปปินส์ ไทย ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลี ศรีลังกา มาเลเซีย อินโดนีเซียและบูรไนเอสจีวีรู้จักตลาดและปกครองคนในภูมิภาคนี้ได้ดีกว่า ซึ่งเสริมให้อาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นขยายตลาดในภูมิภาคเอเซียได้กว้างขวางขึ้น

ในประเทศไทย เอสจีวีกรุ๊ปมีด้วยกัน 4 บริษัท โดยแต่ละบริษัทมีสี่ขุนพลหนุ่มที่ ศจ.ยุกต์ได้วางใจตั้งให้เป็นผู้บริหารชุดใหม่นี้ ประกอบด้วยธวัช ภูษิตโภยไคยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท สำนักงาน เอส-จีวี-ณ ถลาง ธวัชเป็นผู้สอบบัญชีรุ่นบุกเบิกทำงานกับศจ.ยุกต์มาไม่ต่ำกว่า 23 ปี มีผลงานเป็นที่ปรากฏมากมาย โดยเฉพาะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เอสจีวี ณ ถลางมีลูกค้าระดับใหญ่ที่ใช้บริการมากถึง 38 ราย

ขุนพลคนที่สองคือ นิกร์กานต์ สุจริตเวสส์ ได้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท SGV-N TAX & CORPORATION SERVICE ไม่ว่าจะเป็นการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับภาษีอากรและกฎหมายธุรกิจ จดทะเบียนตั้งบริษัทหรือขอบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยหรือคนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ

คนที่สามก็คือเกียรติศักดิ์ โอสถศิลป์ ลูกหม้อเก่าที่ทำงานให้ ศจ.ยุกต์ไม่ต่ำกว่า 20 ปีก็ได้ถูกวางตัวเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท SGV-N ARTHUR ANDERSEN CONSULTING ที่เน้นเป็นที่ปรึกษาวางแผนจัดระบบการบริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (INFORMATION SYSTEM)

และผู้บริหารคนที่สี่ก็คือ JESS BALLESTEROS ผู้บริหารชาวฟิลิปปินส์ที่ดูแลกิจการบริษัทด้านจัดหาบุคลากรระดับสูงให้แก่องค์กรธุรกิจทั่งในและนอกประเทศภายใต้ชื่อว่าบริษัทSGV EXECUTIVE RECRUITMENT SERVICES

ประธานกรรมการบริหารคนใหม่ (CHAIRMAN OF EXECUTIVE BOARD) ที่เพิ่งจะเริ่มเกิดขึ้นปีนี้เพื่อรองรับการบริหารงานในช่วงเวลาต่อไปของเอสจีวีกรุ๊ปก็คือ มาริษ สมารัมภ์ ลูกหม้อเก่าแก่ที่ทำงานกับศจ.ยุกต์ 23 ปีตั้งแต่รุ่นบุกเบิกตั้งบริษัทสำนักงาน เอสจีวี ณ ถลางยุคต้น ๆ ทีเดียว มาริษ หรือเรียกสั้น ๆว่า "มาร์" นอกจากเป็นประธานคณะกรรมการบริหารทำหน้าที่ประสานงานในกรรมการบริหารที่มีอยู่ 5 คนแล้ว มาริษยังต้องควบตำแหน่งรองประธานเอสจีวีกรุ๊ป 4 บริษัทนี้ด้วย โดยมีศจ.ยุกต์เป็นประธานกรรมการ

โครงสร้างคณะกรรมการบริษัทจะมีอยู่สองบอร์ด คือ บอร์ดใหญ่ประกอบด้วยกรรมการ 15 คนซึ่งมีศจ.ยุกต์ ณ ถลางเป็นประธานบอร์ดใหญ่นี้แหละในปลายปี 2533 เพิ่งจะมีการประกาศ EXECUTIVE BOARD ซึ่งมีมาริษ สมารัมภ์เป็นประธานกรรมการชุดนี้เอง

"การบริหารสี่บริษัทนี้จะมี EXECUTIVE BOARD โดยมีคุณมาร์เป็นประธานและมีกรรมการบริหาร 5 คนคือคุณธวัช นิกส์ เกียรติศักดิ์ JESS และผมด้วย นโยบายทั้งหลายจะต้องเข้าบอร์ดนี้โดยโยงการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหารทั้งสี่บริษัทเข้าด้วยกัน" ศจ.ยุกต์เล่าถึงการปรับโครงสร้างที่มีลักษณะ POOL สี่บริษัทขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์การแข่งขันที่ให้บริการแก่ลูกค้าได้ดีขึ้น

"นโยบายการบริหารงานคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ ก็เหมือนชุดเดิม เราเชื่อว่าการทำงานของเราต้องได้มาตรฐานวิชาชีพนั้น ๆ ทั้งมาตรฐานต่างประเทศและในไทยและทำงานได้โดยอิสระเที่ยวธรรม ไม่เข้าใครออกใคร" ศจ.ยุกต์เล่าถึงปรัชญาการบริหารงานของกลุ่มเอสจีวี

ช่วงเวลาต่อไปของเอสจีวีกรุ๊ปคือการขยายสำนักงานสาขาภายในประเทศไทยให้เพิ่มมากขึ้น ตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ และการลงทุนที่เกิดขึ้นมากตามภูมิภาคต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะโครงการแถบชายฝังทะเลภาคตะวันออก (EASTERN SEABOARD PROJECT) เช่นแหลมฉบัง มาบตาพุด เป็นต้น

"ต่อไป เรากำลังจะพิจารณาว่าจะไปเปิดสาขาที่ระบองตามโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดซึ่งมีโครงการใหญ่เช่นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ขณะนี้เราก็ทำให้กับบริษัทปิโตรเคมีแห่งชาติ การไปเปิดสาขาที่นั่นก็เพื่อจะได้ใกล้ชิดลูกค้ามากขึ้น "ศจ.ยุกต์เปิดเผยการขยายตัวในอนาคตของเอสจีวีกรุ๊ปซึ่งปัจจุบันมีสองสาขาคือเอสจีวีที่เชียงใหม่และเอสจีวีที่หาดใหญ่

"การที่เราเป็น MEMBER FIRM ของอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่น ทำให้เราได้ประโยชน์ถ้าหากว่าในเมืองไทยเราจะใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นระบบเดียวกับที่อาเธอร์ แอนเดอร์เซ่น เคยทำให้แล้วที่นิวซีแลนด์ เราก็จะเสนอตัวไปว่าเอสจีวี ณ ถลางกับอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นคอนซัลติ้งจะรับทำงานนี้ให้ ซึ่งดีกว่าที่เขาจะไปปรับปรุงระบบเองโดยต้องเสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลานาน" ศจ.ยุกต์ ณ ถลาง ได้เปรียบให้ฟังถึงการวางระบบ TURNKEY ของระบบบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ทางนี้มีผู้เชี่ยวชาญ

บัดนี้ศจ.ยุกต์ ณ ถลาง คนนี้ต้องอยู่ในฐานะผู้ใหญ่ที่เป็นที่ปรึกษาผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอสจีวีกรุ๊ป หลังจากได้ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานรากเกี่ยวกับคนและวิชาชีพทางธุรกิจตรวจสอบบัญชีในประเทศไทยมาตลอด และก้าวใหม่ของเอสจีวีในอนาคตที่มีอาเธอร์ แอนเดอร์เซ่นก็จะมีวิวัฒนาการที่กว้างไกลสู่มาตรฐานระดับโลก



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.