ธนาคารยังไม่พ้นวิบากกรรม ขาดทุนสะสมรั้งฐานะการเงิน


ผู้จัดการรายวัน(24 ตุลาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

การประกาศตัวเลขผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 13 แห่ง (รวมธนาคารธนชาต) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2545 ปรากฎว่า หลายธนาคารยังมีผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2544 โดยในไตรมาส 3 ธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิประมาณ 10,888.54 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 6,240.60 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

หากพิจารณาช่วง 9 เดือน ธนาคารพาณิชย์มีกำไรประมาณ 29,120.82 ล้านบาท เทียบกับ 42,168.88 ล้านบาท กำไรที่ลดลงของธนาคารจำนวน 36,387 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเกิดจากเดือนมิถุนายน 44 ธนาคารมีการโอนลูกหนี้ด้อยคุณภาพไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพชรบุรี จำกัด ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในกรณีนี้ธนาคารได้โอนสำรองกลับเป็นรายได้ของธนาคาร จำนวน 45,229 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 จะพบว่า มีเพียงธนาคารทหารไทย (TMB) ที่กำไรติดลบถึง 1,625.7 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ค่อนข้างมาก ซึ่งถือว่าไม่สู้ดีนักในสายตาของนักวิเคราะห์

เนื่องจากธนาคารประกาศรายได้สุทธิในไตรมาส 3 ออกมาที่ 1,336.5 ล้านบาทลดลงถึง 18.30% จากไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากรายได้จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง แต่รายจ่ายจากอัตราดอกเบี้ยกลับเพิ่มขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับตัวลดลง 14.03% รวมถึงการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอีก 1,322 ล้านบาทในไตรมาส 3

สำหรับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) KTB ค่อนข้างจะเป็นธนาคารที่เหมาะสมต่อการลงทุนในระยะยาว หลังจากเคลียร์ปัญหากับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินและการล้างขาดทุนสะสมกว่า 70,000 ล้านบาทหมดไป

โดยในไตรมาสนี้ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,679 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 17.35% รายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4,970 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.01% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

ส่วนสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวดีขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อ 3.17% ในไตรมาส 3 แม้ว่าในส่วนของเงินฝากก็ปรับตัวสูงขึ้น 2.09% เทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่จากที่สินเชื่อเพิ่มขึ้นอัตราที่สูงกว่าจึงทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวดีขึ้นจาก 77.85% ในไตรมาส2ปีนี้เป็น 78.68% ในไตรมาส 3

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัญหาหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์จะได้รับการเยี่ยวยาจนระดับของหนี้เสียปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ้นเดือนก.ย.45 ตามข้อมูลของธปท.หนี้เสียคงค้างอยู่ที่ 4.4 แสนล้านบาท หรือ 11.12% ต่อสินเชื่อ ซึ่งเป็นตัวเลขเฉพาะที่ค้างในธนาคารพาณิชย์เท่านั้น

แต่สิ่งสำคัญแล้ว หนี้เสียในระบบจะสูงกว่าตัวเลขที่ธปท.ประกาศ รวมแล้วมีหนี้เสียไม่ต่ำกว่าล้านล้านบาท และปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อธนาคารพาณิชย์ที่อาจจะต้องเสริมความแข็งแกร่งเกี่ยวกับการกันสำรองเพิ่มขึ้น ประกอบกับหากการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของไทยยังคงได้รับความเสี่ยงจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกประเทศ ไม่ว่า สถานการณ์น้ำมัน การเกิดสงคราม และความไม่เต็มที่ของความช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านทางงบประมาณรายจ่ายในปี 2546 ที่จะไม่เต็มที่เหมือนปีก่อนๆ มา

ทำให้ภาคเอกชนหรืออุตสาหกรรมต่างๆ ต้องระมัดระวังในการบริหารธุรกิจและเตรียมความพร้อมกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด แบงก์ยังต้องเหนื่อยอีกนานต้องถนัดเฉพาะด้าน-เพิ่มค่าฟี

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและวางแผน ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) หรือ BT เปิดเผยว่า การประกาศตัวเลขผลกำไรของระบบธนาคารยังไม่สามารถบอกได้ว่าธนาคารได้ฟื้นตัว เพราะยังมีปัญหาที่แต่ละธนาคารจะต้องสะสางคือปัญหาตัวเลขการขาดทุนสะสมที่มีอยู่จำนวนมาก แต่โดยรวมเมื่อเทียบกับช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ถือว่าดีขึ้นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ทุนสำรอง ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ในไตรมาส 3 ภาพรวมไม่ว่าการปล่อยสินเชื่อส ค่าธรรมเนียมต่างๆ ดอกเบี้ยการแก้ไขหนี้เสียในบริษัทบริหารสินทรัพย์ (เอเอ็มซี) ของธนาคารก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้นรวมถึงในไตรมาสที่ 4 หากภาวะเศรษฐกิจขยายตัวและอัตราดอกเบี้ยทรงตัว จะทำให้ลูกหนี้จะพออยู่ได้

“แต่ประเด็นที่ต้องคำนึงคือ เรื่องความสามารถในการแข่งขันจะต้องปรับตัวดีขึ้นกว่านี้ เพราะในอนาคตการแข่งขันจะทวีความรุนแรง แม้แต่แบงก์ต่างประเทศที่มีสาขาแห่งเดียวในไทยยังมีความสามารถในการทำธุรกิจได้มากและรุกตลาดได้แรง และหากแบงก์ไหนไม่คิดที่จะปรับตัวโดยการปรับโครงสร้างองค์กรคงลำบากแน่ แต่เราต้องเข้าใจว่าบางแบงก์ที่เข้มแข็งได้ ส่วนหนึ่งรัฐต้องเข้ามาดูแลเพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาวแล้วรัฐคงไม่สามารถดูแลแบงก์ได้ตลอดไป หนทางเดียวคือแบงก์นั้นๆ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่สามารถรองรับการสภาพตลาดที่จะพลิกเปลี่ยนอย่างมาก โดยเฉพาะต้องระวังธนาคารต่างประเทศที่มีความได้เปรียบทั้งด้านต้นทุนเครือข่ายที่เชื่อมโยงไปทั่วโลก ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างธนาคารเอเชีย ธนาคารดีบีเอสไทยทนุทั้งหมดทั้งปวงแล้ว แบงก์ของไทยจะต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวและรัฐต้องพิจารณาเวลาที่เหมาะสมในการถอยการดูแล”นายอนุสรณ์กล่าว

สำหรับสถานการณ์ภายนอกประเทศขณะนี้ นายอนุสรณ์มองว่าผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์คงไม่รุนแรงเพราะธนาคารมีการเตรียมความพร้อมมาอย่างต่อเนื่อง

“แม้ข้างนอกจะมีเชื้อโรค คิดว่าแบงก์พอมีภูมิคุ้มกันเชื้อโรคได้เมื่อเทียบกับอดีตที่เราอ่อนแอทำให้รับเชื้อได้ง่าย หากพิจารณาเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย เศรษฐกิจไทยถือว่าดีแต่เทียบกับจีนและเกาหลีไม่ได้ส ”นายอนุสรณ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายอนุสรณ์กล่าวว่า เมื่อดูสภาพเศรษฐกิจและแนวโน้มอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์แล้ว ทุกคน ยังต้องทำงานหนักและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะระบบธนาคารในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ทั้งในระดับโครงสร้างรูปแบบการดำเนินงานและประเภทธุรกรรม

ทั้งนี้บทบาทของธนาคารในระบบการเงินจะมีการเปลี่ยนแปลงไป บางบทบาทจะลดลง เนื่องจากการทยอยลดลงของส่วนแบ่งทางการตลาดของการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์สู่ภาคการผลิต และภาคธุรกิจ การเคลื่อนย้ายของการกู้ยืมของภาคธุรกิจ (Corporate Sector Borrowing) สู่ตลาดตราสารหนี้ (Commercial Paper Markets หรือ Debt Instrument Market) การลดลงของการออมเงินของประชาชนในระบบธนาคารพาณิชย์ และการเติบโตของ Non-Bank Financial Institution เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ประกันภัย

“ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อจะทำได้ค่อนข้างยาก อีกทั้งแบงก์ต้องลงทุนในด้านเทคโนโลยีสูงจึงต้องคิดค่าบริการ ค่าธรรมเนียมต่างๆ กับลูกค้าและประชาชน ซึ่งแต่ละแห่งต้องปรับตัวภายใต้การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ธุรกิจธนาคารไม่ใช่เสือนอนกินอีกต่อไป และธนาคารจะต้องแสวงหารายได้ที่เป็น Fee-Based Incomeมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพิงแต่รายได้จากส่วนต่างดอกเบี้ยที่แคบลงเรื่อยๆ”

นายอนุสรณ์ มองว่า ทิศทางการเงินในศตวรรษที่ 21 เรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเงินจะทันสมัยมากมี re-package Product ที่หลากหลาย ธนาคารและสถาบันการเงินในอนาคตจะต้องมีความโปร่งใส สุจริต และเป็นที่เชื่อถือมากขึ้นกว่าเดิม เพราะลูกค้าต้องมั่นใจว่าเงินที่นำไปฝากแล้วจะได้คืน เนื่องจากรัฐจะเลิกการค้ำประกันเงินฝาก

ดังนั้น ธนาคารต้องเลือกลงทุนและบริหารความเสี่ยงเป็น ต้องวางตำแหน่งให้ชัดเจน คือจะเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ก็ต้องใหญ่ไปเลยหรือถ้าเป็นธุรกิจขนาดเล็กต้องมีความชำนาญเฉพาะด้าน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.