|
เมคเคอร์ฯเร่งปรับองค์กรคุมต้นทุนคงที่
ผู้จัดการรายวัน(10 ตุลาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"เมคเคอร์ฯ"สร้างเกราะป้องกัน รับมือการแข่งขันของตลาดรับสร้างบ้าน ระบุ 2 ปีที่เงียบหายมุ่งปรับองค์กรให้กระชับ หวังคุมต้นทุนให้คงที่ คาดปีนี้ยอดขายประมาณ 200 ล้านบาท เน้นเจาะตลาดระดับ 4-5 ล้านบาท
ตลาดรับสร้างบ้านในแต่ละปีมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเข้ามาของกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ที่หวังเข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งตลาดงานจาก ผู้รับเหมารายย่อย ซึ่งในปีนี้ทางสมาคมรับสร้างบ้านตั้งเป้าที่จะมีส่วนแบ่งของงานรับสร้างบ้านให้ได้ในปี 48 ไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท จากมูลค่าในตลาดประมาณ 35,000 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลของธนาคาร อาคารสงเคราะห์(ธอส.)ระบุว่า จำนวนที่อยู่อาศัยที่ปลูกสร้างเองในเขตกทม.และปริมณฑล ในช่วง 3 ปี (2545-2547) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 17,693 ล้านบาท 18,598 ล้านบาท และ 19,859 ล้านบาท และคาดว่า ปีนี้จะมียอดสูงขึ้น
ถึงกระนั้น แม้ว่าบริษัทรับสร้างบ้านทุกค่ายจะเร่งขยายกลุ่มลูกค้า เพื่อผลักดันส่วนแบ่งตลาดให้มากขึ้นตามมูลค่างานที่ยังมีช่องทางเข้าไปเจาะตลาดได้อย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับบริษัท เมคเคอร์ แอนด์ เด็คเคอร์ จำกัด บริษัทรับสร้างคุณภาพมาตรฐาน กลับมีมุมมองและทิศทางของการดำเนินธุรกิจที่ต่างจากคู่แข่งในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา
ที่ผ่านมา 2 ปี บริษัทไม่ได้เพิ่มน้ำหนักทางด้าน มาร์เกตติ้งมากนัก เก็บเนื้อเก็บตัว เพราะเราอยู่ในระยะของการปรับโครงสร้างการบริหารงานอยู่ เพื่อให้เกิดความกระชับและคล่องตัวมากขึ้น ทั้งด้านบุคลากรและระบบการผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น จะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมาก แต่เราแข่งขันกับผู้ประกอบการไม่ไหว เลยต้องชะลอไว้ก่อน ซึ่งจริงๆแล้ว ต้นทุนของงานรับสร้างบ้านแล้ว ประเด็นเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างเป็น ปัจจัยนอกเหนือการควบคุม เราคุมไม่ได้ จึงหันมามุ่งปรับระบบงานภายในให้แข็งแกร่งดีกว่า เพื่อจะ สามารถวัดเรตติ้งการทำงานของบุคลากรว่าเป็นอย่างไร วิเคราะห์และกรองสถานการณ์ของตลาดได้อย่างแม่นยำ ยอมรับว่าวันนี้เราไม่ต้องการแข่งขันกับใคร แต่เราแข่งขันที่จะรักษาผลงานในอดีตและปัจจุบันให้ได้คุณภาพมากที่สุด
นายพันธุ์เทพ ทานชิติกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เมคเคอร์ฯ เปิดเผยและชี้ว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความรู้และรอบคอบในการเลือกบ้าน วัสดุก่อสร้าง มีการเปรียบเทียบตัวสินค้ากับกลุ่มอื่น รวมถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทรับสร้างบ้าน ซึ่งจากสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป ทำให้ทุกบริษัทรับสร้างบ้านควรปรับองค์กร เพื่อตรวจความ พร้อมว่าจะพร้อมรับกับสภาพ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการแก้ไขสกัดปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น
นายพันธุ์เทพ กล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมา บริษัทพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาสร้างสรรค์ผลงาน อาทิ นำบ้านแบบประหยัดพลังงานออกสู่ตลาดเป็นบริษัทแรก หรือการนำเทคโนโลยีโครงสร้าง เหล็กมาใช้สำหรับการก่อสร้างบ้านพักอาศัย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอนาคต เพียงแต่ยังไม่ขยายวงกว้าง เนื่องจากต้องรอให้เทคโนโลยีมีความเหมาะสมกับตลาดในเมืองไทย และการรอให้ผู้ประกอบการที่จะนำระบบดังกล่าวไปใช้มีการสะสมความชำนาญมากขึ้น ซึ่งข้อดีของระบบนี้ จะสามารถ ควบคุมต้นทุนได้ แต่ขณะนี้ราคาเหล็กค่อนข้างสูงกว่า ราคาปูนซีเมนต์ ขณะที่ข้อด้อยก็คือ ยังขาดบุคลากร ที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
สำหรับแนวโน้มของยอดขาย กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ในปี 2548 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ ประมาณ 200 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกมียอดขายไปแล้วกว่า 120 ล้านบาท ขณะที่ปี 2547 บริษัทมียอดขายประมาณ 130 ล้านบาท หรือผลิตออกสู่ตลาดประมาณ 60 หลัง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ล้านบาทเศษ เนื่องจาก ในช่วงครึ่งแรกของปี 47 บริษัทหยุดทำการตลาดแต่ มุ่งปรับองค์กรเป็นหลัก
"เรายอมรับว่าการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เราเสียความสามารถไปส่วนหนึ่ง ขณะที่การรับงานเข้ามา บริษัท ไม่โหมเกินไป แต่จะรับสร้างบ้านเท่าที่มีปัญญารับ การที่ทำงานฝืนกำลังมากเกินไปจะย้อนกลับมาสู่ตัวบริษัทหรืออาจจะมีผลขาดทุน"
ในส่วนของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย บริษัทยังคงเน้นลูกค้าระดับ 4-5 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนให้เห็นถึงแบรนด์ ของบริษัทในตลาดพรีเมียม แต่หากลงไปทำตลาดต่ำ กว่า 4 ล้านบาท จะทำให้ภาพของการทำงานกลายเป็น อุตสาหกรรมรับสร้างบ้านที่มีอยู่ทั่วไปในตลาด อย่างไรก็ตามขณะนี้อัตรากำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายจะสูง กว่า 10% แต่หากกำไรสุทธิแล้วต่ำกว่า 10%
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|