ซัสโก้วาดฝันปี50รายได้ทะลุหมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(4 ตุลาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ซัสโก้ตั้งเป้ารายได้พุ่งถึง 1 หมื่นล้านบาทในปี 2550 พร้อมเร่งขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มปีละ 10-15 แห่ง ฉวยจังหวะไล่ซื้อ/เช่าปั๊มน้ำมันขนาดเล็กในต่างจังหวัดที่ปิดตัวลงจากปัญหาราคาน้ำมันแพง รวมทั้งปรับยุทธศาสตร์การตลาดใหม่ โดยยกเลิกการขายน้ำมันต่ำกว่าคู่แข่งลิตรละ 5-10 สตางค์หลังค่าใช้จ่ายพุ่ง แต่ยังให้ส่วนลดสำหรับปั๊มน้ำมันที่ลูกค้าเติมเอง

นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสหบริการ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายในปี 2550 จะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 7.5 พันล้านบาท โดยจะมีการขยายสถานีบริการน้ำมันซัสโก้เพิ่มขึ้นปีละ 10-15 แห่งทั่วประเทศเพื่อเพิ่มปริมาณการขายน้ำมัน และราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่สูงทำให้รายได้บริษัทฯเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี

โดยครึ่งปีหลังนี้คาดว่าจะมีรายได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 3.7 พันล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และปริมาณการขายน้ำมันน่าจะใกล้เคียงหรือลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบจากครึ่งปีแรกซึ่งการขยายปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้นปีละกว่า 10 แห่งจะใช้เงินลงทุน 40-50 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ โดยบริษัทฯจะเน้นลงทุนปั๊มน้ำมันขนาดเล็กในเขตชุมชน หรืออำเภอ ที่ไม่มีปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ เปิดให้บริการอยู่ ตั้งเป้าหมายว่าจะมีจำนวนปั๊มน้ำมันครบ 200 แห่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันที่มีปั๊มซัสโก้อยู่ 154 แห่ง ทำให้ยอดขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันโครงสร้างรายได้ ซัสโก้มาจากธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน 60% ที่เหลือมาจากการขายส่งน้ำมันให้ภาคอุตสาหกรรม

ขณะนี้มีปั๊มน้ำมันขนาดเล็กรวมถึงปั๊มน้ำมันถังลอยในต่างจังหวัดพากันปิดตัวเพิ่มมากขึ้น จากปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ต้องใช้เงินลงทุนในการสต๊อกน้ำมันมากขึ้น ขณะที่ค่าการตลาดคงที่ รวมทั้งเกิดปัญหาน้ำมันเบนซินขาดตลาดในบางพื้นที่ ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันสูงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น แต่ผู้ค้าไม่สามารถขายแพงตามต้นทุนที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งซัสโก้มองว่าเป็นโอกาสในการทำธุรกิจ โดยปลายปีนี้จะเน้นเช่าหรือซื้อปั๊มน้ำมันที่มีขนาดเล็ก ที่ปิดกิจการเพื่อทำแบรนด์ปั๊มน้ำมันซัสโก้เพิ่ม

จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันหน้าปั๊มอยู่ในอัตราเดียวกับราคาหน้าโรงกลั่น ทำให้ผู้ค้าน้ำมันที่ไม่มีโรงกลั่นเป็นของตนเองอย่างซัสโก้ประสบปัญหาค่าการตลาด และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงได้ยกเลิกนโยบายจากเดิมที่จะขายปลีกน้ำมันหน้าปั๊มต่ำกว่าผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ลิตรละ 5-10 สตางค์/ลิตร เว้นแต่ปั๊มที่เปิดให้ลูกค้าเติมน้ำมันเองจะมีราคาต่ำลงในส่วนเบนซิน 20 สตางค์/ลิตรและดีเซลต่ำกว่าปกติ 40 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งที่ผ่านมาปั๊มน้ำมันดังกล่าวก็ได้รับการต้อนรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดย ปั๊มน้ำมันที่ให้บริการเติมเองมียอดขายเฉลี่ย 2 แสนลิตร/เดือน ขณะที่ปั๊มซัสโก้ทั่วไปมียอดขายเฉลี่ย 1 แสนลิตร/เดือน ซึ่งบริษัทฯต้องการยืนระดับอัตรา การขายปลีกน้ำมันเฉลี่ยเดือนละ 17-18 ล้านลิตร แล้วค่อยเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านลิตร/เดือน

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้ลดปริมาณการขายน้ำมันเบนซินในปั๊มซัสโก้ลง เพราะยิ่งขายมากก็จะขาดทุนมาก ขณะเดียวกันก็จะนำน้ำมันในสต๊อกจากคลังซัสโก้ที่มีต้นทุนต่ำนำมาจำหน่ายแทน และเน้นขายน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นเพราะมีค่าการตลาดสูงกว่าเบนซิน โดยจะนำรถบรรทุกน้ำมันไปซื้อที่หน้าโรงกลั่นแล้วส่งต่อไปตามปั๊มต่างๆ ทำให้ลดความผันผวนของราคาน้ำมันด้วย

"ในช่วงนี้เราจะรักษาระดับการขายน้ำมันเบนซินในปริมาณที่น้อยลง เพราะไม่ต้องการซื้อมาแล้วขายขาดทุน ซึ่งเราไม่ทำแน่ เพราะราคาเบนซินหน้าปั๊มเท่ากับต้นทุนน้ำมันเบนซินที่ซื้อมาจาก หน้าโรงกลั่นยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการบริหารเลย ดังนั้นต้นทุนยังแพงกว่าขายหน้าปั๊มเลย"


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.