เปลี่ยนคนนโยบายเปลี่ยน ค้าปลีกไทย-เทศมีลุ้นรอด


ผู้จัดการรายวัน(21 ตุลาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

ค้าปลีกไทย-เทศได้ต่อลมหายใจ หลังคนคุมนโยบายการค้าปลีกถูกผลัดไม้จาก "เนวิน"กลับมาสู่มือ"อดิศัย"โดยมี"วัฒนา"จากค่ายซี.พี.ขนาบอยู่ข้างๆ แม้ว่าจะไม่มีบทบาทโดยตรง แต่อย่างน้อยก็คงพอจะช่วยเป็นหูเป็นตาได้บ้าง เผยขั้นตอนการเชือดร้านค้าปลีกรายใหญ่ทั้งเทสโก้ โลตัส แม็คโคร บิ๊กซีและคาร์ฟูร์ รวมทั้งเซ็นทรัลในข้อหาทำการค้าไม่เป็นธรรมได้เดินมาถึงจุดที่จะต้องจบแล้ว แต่วันนี้ยังจบไม่ลง เพราะเปลี่ยนคนนโยบายก็เปลี่ยน

นับจากที่นายเนวิน ชิดชอบ ได้เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์แม้จะใช้เวลาสั้นๆ แต่การเข้ามาดูแลนโยบายการค้าปลีกต่างได้รับเสียงตอบรับและการสนับสนุนจากผู้จำหน่ายสินค้า (ซัปพลายเออร์) และร้านค้าปลีกรายย่อยในการเข้ามาจัดการความไม่เป็นธรรมในระบบการค้าปลีกเมืองไทย ที่ถูกร้านค้าปลีกข้ามชาติเอารัดเอาเปรียบ

วันแรกที่นายเนวินเข้ามารับผิดชอบงานการค้าปลีก ย้อนหลังไปเมื่อประมาณ 5 เดือนที่แล้ว นายเนวินได้ย้ำถึงนโยบายในเรื่องการค้าปลีกไว้อย่างชัดเจนว่า"เราสนับสนุนนโยบายการค้าเสรี แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เป็นธรรม ทั้งรายเล็กและรายใหญ่จะต้องอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่มีการเอารัดเอาเปรียบ จนทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ไม่ได้"

จากวันนั้นจนวันที่นายเนวินพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปรับตำแหน่ง ใหม่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2545 ที่ผ่านมา นายเนวินได้เดินหน้าแก้ไขปัญหาการค้าปลีกมาโดยตลอด และทำ ได้จนเกือบจะเรียกได้ว่าจบอย่างสมบูรณ์ แต่แล้วก็มีอันจบไม่ลง เพราะการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำให้งานที่เดินหน้าอยู่ต้องมีอันสะดุดลง

"ผมไม่ห่วงเรื่องค้าปลีก เพราะการทำงานที่ผ่านมา ผมได้ทำตามนโยบายของรัฐบาล และทำ ตามนโยบายของนายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่ได้มอบหมายให้ผมรับผิดชอบเรื่องค้าปลีก และวันนี้ผมได้ทำทุกอย่าง ในส่วนที่ผมรับผิดชอบโดยได้ข้อยุติออกมาแล้ว และผมก็ได้เซ็นเสนอให้นายอดิศัยรับไปพิจารณาต่อแล้ว จากนี้ไปก็เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าที่จะพิจารณาต่อไป โดยจะพิจารณาตามที่เสนอหรือมีความเห็นแตกต่างได้" นายเนวินกล่าวในวันที่ 4 ตุลาคม 2545 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

ทั้งนี้ นายเนวินได้รับการแต่งตั้งจากนายอดิศัยให้เป็นประธานคณะอนุกรรมการการแข่งขันทางการค้า มีหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องต่างๆ ที่อาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าพ.ศ.2542 แล้วเสนอให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าชุดใหญ่พิจารณา ซึ่งเรื่องค้าปลีกก็อยู่ในข่ายการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้เช่นเดียวกัน

สำหรับผลการพิจารณาในเรื่องการค้าปลีก ของคณะอนุกรรมการฯ นั้น ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า กรณีการร้องเรียนเซ็นทรัล รีเทลและบริษัทในเครือมีพฤติกรรมเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพราะมีพฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติจริง ทำให้ผู้ประ กอบการได้รับผลกระทบ เนื่องจากในการส่งสินค้า เซ็นทรัล รีเทลเปิดรับสินค้าจากซัปพลายเออร์ที่เป็นสมาชิกอาร์ซีตั้งแต่เวลา 21.00-08.00 น. แต่เปิดให้ซัปพลายเออร์อื่นที่ส่งสินค้าเอง สามารถ ส่งสินค้าได้ตั้งแต่เวลา 02.00-04.00 น. เท่านั้น

ส่วนกรณีของร้านค้าปลีกรายใหญ่ทั้ง 4 ราย ได้แก่ เทสโก้ โลตัส แม็คโคร บิ๊กซีและคาร์ฟูร์ คณะอนุกรรมการฯ มีมติเช่นเดียวกันกับกรณีของเซ็นทรัล คือ มีพฤติกรรม 7 ข้อที่เป็นข้อร้อง เรียนจากซัปพลายเออร์เข้าข่ายผิดมาตรา 29

พฤติกรรม 7 ข้อที่เข้าข่ายผิดมาตรา 29 นั้น ได้แก่ 1.ค่าธรรมเนียมสินค้าแรกเข้า (Entrance Free) 2.เงินสนับสนุนการขายโดยขอส่วนลด ของแถมในวาระพิเศษ 3.ส่วนลดต่างๆ เช่น ส่วนลดที่เป็นของแถม ส่วนลดเปิดสาขาใหม่ ส่วนลดปกติ ส่วนลดประจำปี และส่วนลดคืนกำไร 4.ค่าโฆษณาสนับสนุนการขาย เช่น ค่าเมล์ และแค็ต-ตาล็อก 5.ค่าระบบข้อมูลพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 6.สินค้าเฮาส์แบรนด์ และ 7.การนำสินค้าออกจากชั้นวาง (Delete)

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการปกป้องผู้บริโภค คณะอนุกรรมการฯ ยังได้มีมติให้เพิ่มข้อกล่าวหาเป็นข้อที่ 8 ในเรื่องพฤติกรรมการกำหนดราคา ขายไม่เป็นธรรม อันส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกในท้องที่ต่างๆ ได้รับความเสียหายจากการกำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าทุน โดยในการ กำหนดราคาขายแต่ละครั้งพบว่าร้านค้าปลีกราย ใหญ่จะส่งเจ้าหน้าที่ของตนเองออกไปสำรวจร้านค้าย่อยส่วนใหญ่ว่าจำหน่ายสินค้าในราคาใด แล้วมากำหนดราคาขายให้ต่ำกว่า

การทำเช่นนี้ของร้านค้าปลีกรายใหญ่ โดยการซื้อสินค้ามาแพง แต่ขายในราคาถูก ได้ทำให้ ร้านค้าปลีกรายย่อยล้มหายไปเป็นหมื่นๆ รายในแต่ละท้องที่ ซึ่งเห็นได้จากงบการเงินที่มีผลประกอบการขาดทุนจากการขาย โดยทั้ง 4 รายมีผลประกอบการขาดทุนตั้งแต่ 0.5-5% แต่กลับไปมีกำไรจากส่วนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในพฤติกรรม 1-7

ทั้งนี้ มาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า มีเนื้อหาสาระในการห้ามไม่ให้ผู้ประ กอบการรายใดรายหนึ่งทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการรายอื่น โดยโทษตามมาตรา 29 คือจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากกระทำความผิดซ้ำจะมีโทษทวี คูณ

แม้ว่าจะได้มีการสรุปความผิดของร้านค้าปลีกทั้งไทยและต่างประเทศแล้ว นายเนวิน ยังได้ให้มีการติดตามพฤติกรรมของร้านเซเว่น อีเลฟเว่นว่ามีการดำเนินการค้าที่ไม่เป็นธรรมและมีพฤติกรรมเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายเลขานุการกำลังรวบรวมพฤติกรรมต่างๆ อยู่ เพราะลักษณะพฤติกรรมคล้ายๆ กับกรณีของร้านค้าปลีกรายใหญ่

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่นายเนวินยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายในในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ ก็ได้ออกมายืนยันชัดเจนว่าการพิจารณาชี้ขาดกรณีร้านค้าปลีกรายใหญ่ทั้ง 5 รายมีความผิดตามมาตรา 29 แห่งพ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้านั้น ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่ที่มีนายอดิศัยเป็นประธาน

โดยในการพิจารณา หากคณะกรรมการฯ ชุดใหญ่เห็นว่ามีมูลความผิดตามที่อนุกรรมการฯ สรุปจะต้องตั้งอนุกรรมการรวบรวมสำนวนก่อนส่งให้อัยการฟ้องศาล หากอัยการเห็นว่าสำนวนขาดหลักฐานเหตุผลประกอบเพียงพอก็อาจจะสั่งไม่ฟ้อง แต่คณะกรรมการฯ สามารถรวบรวม สำนวนฟ้องต่อศาลเองได้

พร้อมกับระบุว่าในกรณีที่มีความกังวลกันว่าเรื่องนี้จะเข้ารูปแบบเดิมเหมือนกับกรณีการขายเหล้าพ่วงเบียร์ที่คณะอนุกรรมการฯ สรุปว่าผิด เพราะมีการบังคับให้มีการขายพ่วงจริง แต่คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่เห็นว่าไม่ผิด เพียงแต่สั่งให้ยุติพฤติกรรมนั้น คงจะไม่เกิดขึ้น เพราะกรณีแตกต่างกัน โดยกรณีเหล้าพ่วงเบียร์เป็นความผิดที่เข้าข่ายตามมาตรา 25 ที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ผู้มีอำนาจเหนือตลาด แต่ตอนนั้นไม่มี ส่วนกรณีนี้เป็นการผิดมาตรา 29 ที่ว่าด้วยการค้าที่ไม่เป็นธรรม

ทั้งนี้ นับจากวันที่นายเนวินพ้นจากตำแหน่ง ไป จนกระทั่งวันนี้ (21 ต.ค.) นายอดิศัยยังได้มีคำสั่งให้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเลย และเมื่อได้มีการสอบถาม ว่าจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องการค้าปลีกที่นาย เนวินได้สรุปเสนอมาให้ นายอดิศัยกลับพูดทีเล่นทีจริงว่า "ไม่รู้ ไม่เห็นเสนออะไรมาเลย"

นั่นก็เป็นสัญญาณที่จะสื่อได้ชัดเจนว่า นโยบายการค้าปลีกนับจากวันนี้ไป คงจะไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าที่เคยคืบหน้ามาแล้ว เพราะท่าทีของนายอดิศัยวันนี้ก็ยังคงนิ่งอยู่ นิ่งเสียจนไม่รู้ว่าจะเดินหน้าต่ออย่างไร และความหวังที่ปัญหาการค้าปลีกจะได้รับการแก้ไขก็คงจะต้องชะงัก และการที่หลายๆ ฝ่ายเคยกังวลไว้ว่าเมื่อเปลี่ยนเจ้าภาพ งานที่ควรจะเดินก็อาจไม่เดินนั้นคงจะเป็นจริง แล้วปัญหาการค้าปลีกก็คงจะถูกปล่อยเงียบ เงียบจนกระทั่งคนจะลืมไปเองในที่สุด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.