ตลาดหุ้นกู้คึกคักช่วงปลายปี

โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

ความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ มีความโดดเด่นน่าสนใจบางประการที่ควรกล่าวถึงโดยเฉพาะ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากภาครัฐ ด้วยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติมูลค่า 305,000 ล้านบาท บวกกับการออกหุ้นกู้ของบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และยังจะมีหุ้นกู้เอกชนรายอื่นๆ ตามมาอีกหลายราย คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 40,000 ล้านบาททีเดียว

เทียบกับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2545 มีการออก หุ้นกู้ภาคเอกชนคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท แล้ว และเมื่อพิจารณาปริมาณการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทย ก็ถือว่าคึกคักอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในครึ่งปีหลังอยู่ระหว่าง 8,000-10,000 ล้านบาท (ดูตารางมูลค่าซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทย)

ในช่วงต้นปีก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ มีข่าวเรื่องพันธบัตรฯ ออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้เกิดความผันผวนอยู่พักหนึ่ง นักวิเคราะห์บางท่านคาดว่าพันธบัตรฯ จะดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ ไปพอสมควร แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว สภาพคล่องในระบบ ก็ยังมีเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก สะท้อนว่ากลไกการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังทำงานไม่เป็นปกติ

วิสาหกิจหลายแห่งใช้โอกาสนี้ออกหุ้นกู้ขายประชาชนนักลงทุนทั่วไป นำเงินที่ระดมได้มาชำระคืนหนี้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ บางรายก็ระดมทุนเพื่อนำไปใช้ลงทุนตามโครงการที่วางไว้ (ดูตารางการเสนอ ขายหุ้นกู้ภาคเอกชนในเดือน ต.ค. 2545) การระดมทุนจากประชาชนโดยตรงไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินทำให้ได้ต้นทุนที่ดี ขณะที่แบงก์สูญเสียโอกาสที่จะปล่อยสินเชื่อได้

พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาก ในภาวะที่การลงทุนด้านอื่นๆ เงียบเหงาซบเซา นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติกันเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าเม็ดเงินลงทุนจะเคลื่อนไหวไปหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในกรณีนี้พันธบัตรฯ ให้ผลตอบแทนในอัตราถึง 6.1% ต่อปี เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ 1.25% - 1.75% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.75% - 2.50% ต่อปี

เจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า นักลงทุนได้ชำระเงินพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติแล้ว ถึง 90% คิดเป็นเงิน 274,500 ล้านบาทในช่วงต้นเดือน ต.ค. และคาดว่าจะมีการชำระเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดชำระในกลางเดือน ต.ค. อย่างไรก็ดียังมีนักลงทุนที่ขึ้นทะเบียนรอซื้อพันธบัตรอยู่อีกประมาณ 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.14% ของมูลค่าพันธบัตรทั้งหมดที่ออก ตัวเลขนี้บ่งชี้ชัดว่าจะมีการชำระเงินค่าพันธบัตรฯ ครบแน่นอน และสะท้อนด้วยว่า สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่อย่างเหลือเฟือ

Feature ที่ดี ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ออกกันในปีนี้ สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ feature หรือ เงื่อนไขตราสารที่ดีอย่างมากๆ ซึ่งสะท้อนว่า ผู้ออกตราสารพยายามทุกทางที่จะจูงใจนักลงทุนให้ซื้อให้ได้ ซึ่งเท่าที่สอบถามพูดคุยกับนักวิเคราะห์ ล้วนบอกว่าไม่เคยเห็นเงื่อนไขในตราสารใดจะดีสุดๆ แบบที่มีในตราสารที่ออกๆ กันมาในปีนี้เลย

อย่างกรณีของพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติและหุ้นกู้ของ TA ก็มีอัตราดอกเบี้ยตายตัว (fixed rate) และมีตารางการชำระคืนที่แน่นอนหรือมีการทยอยชำระคืนเงินต้น (amortizing bond) พร้อมจ่ายดอกเบี้ยทุกไตรมาสในกรณีของ TA เป็นต้น เรียกว่าจูงใจจนนักลงทุนไม่ซื้อไม่ได้

ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่ดีมานด์ และซัปพลายสอดคล้องกันตรงตัวขนาดนี้ ผู้ซื้อก็อยากจะซื้อและผู้ขายก็อยากจะขาย

แน่นอนในยามนี้ทุกคนคิดถึงปัจจัยความเสี่ยงน้อยมาก โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจโลกไม่มีวี่แววว่าข่าวใดๆ จะทำให้เกิดบรรยากาศการลงทุนที่สดใสขึ้นมาได้ อัตราดอกเบี้ยก็ยากที่จะโน้มตัวขึ้น และมีผู้ทำนายด้วยว่าต้องรอไปถึงปลายปี 2546 หรือต้นปี 2547 ด้วยซ้ำ จึงจะมีโอกาสเห็นดอกเบี้ยผงกหัวขึ้นได้

อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุนพึงคำนึงถึงด้วยคือการดำเนินงานของบริษัท และการจัดโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อนจนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ได้อย่างง่ายๆ ทั้งนี้มีบริษัทหลายแห่งที่ออกหุ้นกู้ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู และต้องเจ็บตัวเมื่อประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่สามารถชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ประเภทต่างๆ ได้

ความคึกคักของการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนและจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนคุ้นชินกับการลงทุนในหุ้นกู้กันมากขึ้น เห็นได้จากการถอนเงินออมออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ไปลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น คาดว่าตลาดหุ้นกู้จะขยายตัวต่อเนื่องไปอีกตามภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างปัจจุบัน

ตลาด IPO หุ้นทุนหงอย

ด้านตลาดการออกหุ้นใหม่เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้ เห็นทิศทางชัดเจนว่าซบเซาลงอย่างมาก โดยหุ้นที่เจอแจ็กพอตจากสถานการณ์ความ อึมครึมของแนวโน้มภาวะสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบสองคือ หุ้นธนาคารไทยธนาคาร ที่เข้าจดทะเบียนครั้งที่สองในตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่สามารถขายหมด และเมื่อเข้าเทรดแล้ว ดัชนีหุ้นทรุดต่ำส่งผลราคาหุ้นต่ำกว่าราคาอันเดอร์ไรต์ประมาณเกือบ 3%

สภาพที่เกิดขึ้นกับหุ้นไทยธนาคารเป็นเหตุให้หุ้นรัฐวิสาหกิจอีกหลายตัว ต้องเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปเป็นปีหน้า และยังไม่รู้ว่าจะมีกำหนดแน่นอนอย่างไร เพราะต้องรอดูสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลก

ผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในตลาดแถบเอเชีย-แปซิฟิก ก็ออกมาบอกว่าความต้องการหุ้น IPO (Initial Public Offering) ขณะนี้ต่ำมาก ผู้ออกต้องตั้งราคาที่ดึงดูดใจ จึงจะสามารถกระตุ้นความต้องการซื้อได้

ทอมสัน ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นบริษัทที่สำรวจ ข้อมูลตลาดทุนทั่วโลกรายงานผลการสำรวจการออกหุ้นใหม่เสนอขายประชาชนทั่วไป หรือ IPO ในช่วง 2 ปีนี้ (2544-2545) มีมูลค่า 48.1 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่า IPO ในปี 2543 ปีเดียวที่มีมูลค่า 50.5 พันล้านดอลลาร์ แม้หลายตลาดในเอเชียจะมีการออกหุ้น IPO จำนวนมาก แต่สภาพความต้องการหุ้น IPO ก็ยังต่ำอยู่ และยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงปีหน้า

อย่างไรก็ดี อันเดอร์ไรเตอร์ไทยบางราย เช่น บล.แอสเซท พลัส ยังยืนยันที่จะนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ หลังจากที่ตัวบริษัทเองเข้าจดทะเบียนไปล่วงหน้าก่อนที่ นักลงทุนต่างประเทศจะเริ่มถอนการลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการมองสวนทางตลาด และเป็นความพยายามที่จะรักษาบรรยากาศ การลงทุนในหลักทรัพย์ไว้ แม้จะเป็นการฝืนทิศทาง ใหญ่ก็ตาม



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.