ทิสฯชูไทยฮับผลิตอาร์ทีดีทั่วโลกเจรจาซื้อ"ดร.เธิร์ทตี้"ทำเองเลี่ยงภาษีนำเข้า


ผู้จัดการรายวัน(30 กันยายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

ทิสเวิลด์ไวด์ ชูนโยบายไทยเป็นศูนย์กลางผลิตอาร์ทีดี 100 ยี่ห้อจากทุกมุมโลก ดอดเจรจาซื้ออาร์ทีดี ดร.เธิร์ทตี้ มาผลิตในประเทศ เลี่ยงภาษีนำเข้าสูงถึง 300% พร้อมปั้นราคาใหม่เหลือ 60 บาท จาก 112 บาท ทุ่ม 10 ล้านบาท เปิดตัวไนท์ สปู้กกี้-เดวิลช่วงวันฮาโลวีน

นายเทพอาจ กวินอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิสเวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (1997) จำกัดผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์พร้อมดื่มหรืออาร์ทีดีไนท์และครุยเซอร์ เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทต้องการเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มอาร์ทีดีรายใหญ่ มีสินค้าหลากหลายตั้งแต่ 100 ยี่ห้อ อีกทั้งยังต้องเป็นสินค้าที่ลักษณะเฉพาะตัวที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภค ในแต่ละประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เฉพาะเจาะจง

ล่าสุดบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์พร้อมดื่มภายใต้แบรนด์ "ดร. เธิร์ทตี้" ซึ่งเป็นแบรนด์จากประเทศอังกฤษที่เคยนำเข้ามาทำตลาดปลาย ปี 1997 แล้วหยุดทำตลาดไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมานี้ เนื่องจากเจ้าของหันไปทำธุรกิจหลักคือเบียร์ และผับบาร์ จำนวน 400 แห่งมากขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมาสินค้าราคาถึง 112 บาท เมื่อเทียบกับอาร์ทีดีแบรนด์อื่นราคาเพียง 60 บาท

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในปีหน้า บริษัทจะเริ่มผลิตอาร์ที่ดียี่ห้อ ดร. เธิร์ทตี้ในประเทศได้ ทั้งนี้ การซื้อแบรนด์ ดร.เธิร์ทตี้มาผลิตในประเทศ ไทยเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายทางภาษีที่สูงถึงกว่า 300% ลงเหลือประมาณ 80% ทำให้สามารถลดราคาขายปลีกต่อขวดลงได้ขวดละ 60 บาทจากเดิม ขายอยู่ที่ 112 บาทต่อขวดตรงนี้ถือเป็นโอกาสและความได้เปรียบของทิสฯ

สำหรับแผนทำตลาดเครื่องดื่ม อาร์ทีดีของบริษัท ล่าสุดได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท เปิดตัวไนท์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่น 2 ชาติ คือ สปู้กกี้ และเดวิลจำหน่าย ขวดละ 49 บาท จากปกติราคาไนท์ขายขวดละ 43 บาทเพราะมีจำนวนจำกัดแค่ 1 แสนขวดหรือ 8,000 ลังในช่วงเทศกาลฮาโลวีนเป็นครั้งแรก สำหรับจุดเด่นของ 2 ตัวนี้ คือสปู้กกี้มีสีขาวเมื่อดื่มแล้วรู้สึกเย็นในลำคอ ส่วนเดวิลจะให้ความรู้สึกร้อน แตกต่างจากอาร์ทีดีที่วางจำหน่ายอยู่ในตลาด

การเปิดตัวสินค้ารุ่นลิมิเต็ด เป็นการสร้างสีสันและเน้นการทำกิจกรรมพิเศษเทศกาลฮาลโลวีน ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ ณ ร้าน Booze ทองหล่อด้วยการจัดปาร์ตี้ผี และคอนเสิร์ตโจอี้ บอย ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้เตรียมนำสินค้ารุ่นลิมิเต็ด ทั้งสองรสชาติไปจำหน่าย 12 ประเทศ ในแถบเอเชียและยุโรป โดยคาดว่าหลังจากเปิดตัว 2 รสชาติใหม่นี้จะทำให้ตลาดอาร์ทีดีช่วงระยะเวลา 3 เดือนมีสีสันเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ โดยเฉพาะผู้ชาย

ปัจจุบันกลุ่มผู้ดื่มจะนิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รสชาติเข้ม แต่กลุ่มเป้าหมายของเครื่องดื่มอาร์ทีดี ส่วนใหญ่ 90% เป็นผู้หญิงที่เหลือ 10% เป็นผู้ชาย ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายในอนาคต สัดส่วนกลุ่มลูกค้าผู้ชายขยับ ขึ้นเป็น 40% ที่เหลือ 60% กลุ่มผู้หญิง จากเดิมกลุ่มผู้หญิงเป็นหลัก และสิ้น ปีนี้ตั้งเป้าไนท์จะมีส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 30% จาก 25% และขยับขึ้น 35% ในปี 2550Ž

ผลประกอบการปีนี้ บริษัทมีอัตราการเติบโต 15% และมีส่วนแบ่ง จากทุกยี่ห้อรวมกัน 50% ในตลาดอาร์ทีดี ปัจจุบันตลาดอาร์ทีดีมีมูลค่า 1,200 ล้านบาทนั้นมีอัตราการเติบโต คงที่ หลังจากเคยมีอัตราเติบโตสูงสุดในปี 2545 ด้วยมูลค่าถึง 1,500 ล้านบาทเนื่องจากเป็นเครื่องดื่มมีสีสันและเข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยก่อนหน้านี้เครื่องดื่มผสมพร้อมดื่ม เข้ามาทำตลาดเป็นครั้งแรกในปี 2540 ต่อจากนั้นขยับตัวอย่างก้าวกระโดด และลดลงเรื่อยจนเหลือ 1,200 ล้านบาทในปีนี้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.