"ผมเป็นมืออาชีพ"


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

แม้จะเกิดในตระกูลที่ทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง แต่ไชยันต์ ชาครกุล ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าในบั้นปลายชีวิตเขา จะต้องมาเป็น นักพัฒนาที่ดิน

เป้าหมายในชีวิตช่วงวัยหนุ่ม ไชยันต์ต้องการเป็นนายแบงก์

ไชยันต์เรียนจบปริญญาตรี สาขาบัญชี โดยได้รับเกียรตินิยมดี จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ความที่เป็นคนเรียนเก่ง ทำให้ธนาคารกรุงเทพมาชักชวน ให้เขาไปร่วมงานด้วยตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

เขาเริ่มงานในธนาคารกรุงเทพในปี 2515 โดยทำงานอยู่ใน ฝ่ายสินเชื่อ และเจริญเติบโตตามสายงานเป็นลำดับ ก่อนลาออก เขาเป็นพนักงานระดับ VP ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อ

เขาบอกกับคนใกล้ชิดเสมอว่าชอบงานแบงก์ เพราะมีโอกาสใกล้ชิด และศึกษาชีวิตของคนหลายประเภทที่เข้ามาติดต่อ ขอสินเชื่อ พอร์ตสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพสมัยที่เขาดูแลอยู่มีวงเงินสูงระดับหมื่นล้านบาท

ช่วงที่อยู่ธนาคาร เขาไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ปล่อยให้ทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์ พี่ชายคนโต เป็น คนรับผิดชอบทั้งหมด

ไชยันต์เริ่มเข้ามามีบทบาท เมื่อบริษัทบ้านและที่ดินไทยค้างจ่ายค่ารับเหมาก่อสร้าง กับกิจการของครอบครัวเขาเป็นเงินนับล้านบาทเมื่อ 20 ปีก่อน

"เขาจ่ายเช็คมากี่ใบๆ เด้งหมด สุดท้ายก็บอกว่า ที่ดินในโครงการสุขุมวิท 101 ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ราคามันสูงเกินหนี้ให้เรารับที่ดินแปลงนี้มา แต่ที่แปลงนี้ก็ติดจำนองอยู่กับบริษัทเงินทุนส่งเสริมเงินทุนไทย ผมก็ต้องไปเจรจาเพื่อนำเงินใช้หนี้บริษัทเงินทุนส่งเสริมเงินทุนไทย และนำที่ดินแปลงนี้มาทำต่อ"

เมื่อเบนเข็มมาทำธุรกิจพัฒนาที่ดิน โดยจัดตั้งบริษัท ลลิลขึ้นมา ภาระรับผิดชอบช่วงแรกยังเป็นของพี่ชาย แต่เขาก็เข้ามาช่วยดูแลใกล้ชิดขึ้น "วันจันทร์ถึงศุกร์ทำงานให้แบงก์ ถึงวันเสาร์ก็ต้องเข้ามาดูงานในบริษัท"

ทวีศักดิ์พี่ชายของเขาป่วยเป็นโรคเบาหวานเรื้อรัง หลังเปิดบริษัทมาได้เพียง 4 ปี สุขภาพก็ทรุดโทรมลง ไชยันต์จึงจำเป็นต้องลาออกจากธนาคารกรุงเทพ เพื่อเข้ามาบริหารงานแทน

"ตอนยื่นลาออก ทั้งคุณปิติ คุณเดชา คุณชาตรี เรียกเข้า ไปคุยถึง 3 รอบ แต่ผมก็บอกว่าพี่ผมสุขภาพไม่ไหวแล้วต้องออก มาช่วย"

เขาเข้ามาบริหารลลิลเต็มตัวในปี 2535 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีราคาหุ้นกำลังไต่ระดับเพื่อขึ้นไปถึงเป้าหมาย 1,000 จุด แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นในช่วงนั้น

ไชยันต์ใช้ชีวิตนายแบงก์มานาน เวลาที่เขาคิดจะทำอะไร แต่ละครั้ง จึงใช้ความระมัดระวังค่อนข้างสูง "ราคาที่ดินตอนนั้น แพงมาก เพราะมันไปอยู่ในมือนักเก็งกำไรกันหมด ถ้าผมจะระดม เงินเพื่อมาทำโครงการโดยต้องซื้อที่แพงอย่างนั้นมันเสี่ยงเกินไป"

ตลอด 10 ปีในการบริหารงานในลลิล ไชยันต์พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้การทำงานภายในเป็นแบบมืออาชีพ คนในครอบครัวเขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการ พนักงานส่วนใหญ่ใช้วิธีประกาศรับสมัครตามหน้าหนังสือพิมพ์

เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญยิ่งกับการพัฒนาบุคลากร ช่วง ที่เกิดวิกฤติ ซึ่งกิจกรรมของบริษัทลดน้อยลง เขาไม่มีนโยบายปลดพนักงาน ในทางตรงกันข้ามกลับส่งเสริมโดยให้ทุนพนักงาน ระดับบริหารไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท

อย่างไรก็ตาม ความที่เป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาด ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกมองจากสายตาคนทั่วไปได้ว่า ลลิลยังเป็นธุรกิจครอบครัว

เมื่อสถานการณ์ของตลาดหุ้นเปลี่ยนแปลงไป เขาจึงมองว่าขณะนี้เป็นโอกาสดีที่จะสร้างความมั่นใจให้กับพนักงาน เขาจึงตัดสินใจนำกิจการเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

แน่นอนที่สุด หุ้นจำนวนหนึ่งจะต้องถูกกระจายขายให้กับพนักงานในราคาที่จูงใจ เพื่อเพิ่มความรู้สึกร่วมในการเป็นเจ้าของลลิล พร็อพเพอร์ตี้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.