|

แบงก์-รัฐเปิดศึกชิงเงินฝาก แนะสำรวจตัวเองก่อนลงทุน
ผู้จัดการรายสัปดาห์(22 กันยายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
คนวงการบริหารเงินแนะผู้มีเงินออม สำรวจตัวเองก่อนเลือกลงทุนในยุคที่ทุกค่ายแย่งชิงเงินออม ฝากระยะสั้นมีโอกาสเลือกผลตอบแทนสูงในอนาคตได้ง่ายกว่า หากไม่คิดมากเลือกพันธบัตรรัฐบาล 5% ก็น่าสนใจ ส่วนกองทุนรวมผุดจ่ายดอกทุก 3 เดือนให้ผลตอบแทน 3.8%ต่อปี
หลังจากการปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรจาก 2.75% เป็น 3.25% เมื่อ 7 กันยายนที่ผ่าน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เกือบทุกแห่งต่างขยับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่เพียงแค่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ขยับขึ้นเพื่อช่วงชิงลูกค้าเงินฝาก แต่ยังมีพันธบัตรรัฐบาลที่เสนออัตราดอกเบี้ยสูงเกินกว่า 5% ออกมาตัดหน้าเช่นกัน
สถานการณ์นี้จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้มีเงินออมว่าควรจะตัดสินใจลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนดี และไม่เสียโอกาสกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
"ขณะนี้ทั้งสถาบันการเงิน รวมถึงรัฐบาลต่างพยายามออกผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดใจผู้มีเงินออม ทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือการเสนอขายพันธบัตรระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5%" แหล่งข่าวจากวงการค้าตราสารหนี้กล่าว
ดังนั้นผู้มีเงินออมจะต้องสำรวจตัวเองว่าพร้อมกับการออมระยะสั้นหรือยาว รวมถึงการคาดการณ์เรื่องสถานการณ์ดอกเบี้ยด้วย ซึ่งอยู่ในทิศขาขึ้น หากผู้ออมมองว่าอัตราดอกเบี้ยในอีก 1-2 ปีจะปรับขึ้นไปมากก็อาจเลือกออมด้วยการฝากเงินในบัญชีฝากประจำ 12 เดือน เผื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้นมากก็สามารถโยกหรือเปลี่ยนประเภทการลงทุนได้
ส่วนผู้ที่ยอมรับกับอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5% กับเวลาอีก 5 ปีได้ ก็เลือกซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้การฝากเงินหรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ
อย่างไรก็ตามเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องที่คาดการณ์ลำบากว่าจะขึ้นไปถึงระดับใด แต่ถ้าประเมินจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เช่น นโยบายการลงทุนของรัฐบาลในโครงการเมกกะโปรเจคท์ ที่ใช้เงินลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท ก็มีความเป็นที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ 8 เดือนของปี 2548 ขยับขึ้นมาที่ 3.8% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรยังอยู่ที่ 3.25% รวมถึงสถานการณ์เรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้น
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรจะค่อย ๆ ปรับขึ้นและน่าจะขึ้นไปถึงระดับ 4-4.5% ในสิ้นปี 2549 ดังนั้นบรรดานักลงทุนประเภทสถาบันจึงเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปีเป็นหลัก ซึ่งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 1 ปีขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3.5% แน่นอนว่าผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารประเภทประจำ 1 ปีอยู่มาก
ขณะที่การซื้อพันธบัตรอาจต้องใช้วงเงินสูงในการซื้อ จึงเหมาะสำหรับผู้มีเงินออมจำนวนมาก ส่วนผู้ที่มีเงินออมไม่มากอาจเลือกลงทุนในพันธบัตรได้โดยผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
อัจฉรา สุทธิศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ออกกองทุนเปิดแมกซ์พันธบัตร 2 คุ้มครองเงินต้น อายุ 2 ปี ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 80% โดยให้ผลตอบแทนทุก 3 เดือน จ่ายผลตอบแทนทั้งสิ้น 8 ครั้ง เริ่มที่ 2.75-5.25% ของมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้นที่ 10 บาท
เฉลี่ยแล้วกองทุนนี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 3.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ที่สำคัญคือผลตอบแทนที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งแตกต่างกับการฝากเงินกับธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งอายุของกองทุนแค่ 2 ปี เป็นช่วงเหมาะสมหากทิศทางอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น เมื่อกองทุนครบอายุก็สามารถนำไปลงทุนในช่องทางอื่นได้อีก
ดังนั้นผู้มีเงินออมควรจะต้องตอบความต้องการของตนเองให้ได้ก่อนว่าต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่ผลตอบแทนอัตราใด ยอมรับได้หรือไม่หากได้รับผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในช่วงแรก แต่อาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดในระยะยาว
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|