ธุรกิจเช่าซื้อเฟื่อง ไมด้ารายได้พุ่ง ตั้งเป้าฟันรายได้ 2,000 ล้านบาทปีนี้
เตรียมสยายปีกรุกตลาดอินโดจีน พร้อมเข้าตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2 ปีหน้า ขณะที่ไดสตาร์
ผู้ผลิต-จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ "ไดสตาร์" รับลูก เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเฟื่อง
เพราะระบบเงินผ่อน รายได้บริษัทกว่าครึ่ง หรือประมาณพันล้านบาทปีนี้มาจากระบบนี้
คุยหนี้เสียต่ำเพียง 2% ของยอดสินเชื่อเช่าซื้อ เพราะบริษัทบริหารจัดการระบบเก็บเงินดี
นายวิวัฒน์ เอี้ยวศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมด้า แอสเซ็ท จำกัด
เปิดเผยว่าเงินกู้ 760 ล้านบาทที่บริษัทได้รับอนุมัติจากธนาคารกสิกรไทย แบ่งการกู้
เป็น 2 งวด งวดแรก 160 ล้านบาท ซึ่งชำระคืนแล้วบางส่วน คงเหลือประมาณ 90
ล้านบาท
งวดที่ 2 กู้ 550 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 5.1% ต่อปี สัดส่วนเงินกู้ระยะยาว
80% ที่เหลือเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน (พี/เอ็น) และเงินเบิกเกินบัญชี (โอดี)
บริษัทจะนำเงินดังกล่าว ขยายสาขาทั่วประเทศ ตั้งเป้าจะขยายให้ครบ 127 สาขา
ภายใน สิ้นปี 2545 จากปัจจุบัน 105 สาขา กระจายไปทั่วทุกภูมิภาค
เพื่อกระตุ้นยอดขายปี 2545 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย 2,100 ล้าน บาท ขณะที่รายได้จากธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าช่วง
8 เดือนแรกปีนี้ บริษัททำได้ 1,118 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากสิ้นปี 2544
คาดว่าปีนี้ บริษัทกำไรสุทธิ 290-300 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
400 ล้านบาท
"ปัจจุบัน ธุรกิจเช่าซื้อขยายตัวอย่างมาก การแข่งขันในตลาดสูงขึ้น
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ช่วยให้คนจับจ่ายใช้สอยด้วยระบบเงินผ่อนมากขึ้น
ขณะที่นโยบายรัฐบาลกระตุ้นประชาชนใช้จ่ายมากขึ้น" นายวิวัฒน์กล่าว รุกสินเชื่อรถจักรยานยนต์
นอกจากนั้น เดือนหน้าบริษัทมีแผนจะปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่ม
โดยช่วงแรก ตั้งเป้าแต่ละสาขาจะปล่อยสินเชื่อแห่งละ 2 คันต่อเดือน จากปัจจุบัน
บริษัทมีทั้งสิ้น 105 แห่ง จะเพิ่มเป็น 127 แห่งภายในสิ้นปี คาดจะปล่อยตามสินเชื่อตามโชว์รูมอีกประมาณ
40-50 คัน
จะทำให้บริษัทสามารถปล่อยสินเชื่อจักรยานยนต์ประมาณ 300 คันต่อเดือน โดยอาศัยฐานลูกค้าเดิมที่ในระบบข้อมูล
2 ล้านราย นอกจากนี้ บริษัทจะปล่อยสินเชื่อเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งจะปล่อยผ่านสาขา
4-5 แห่ง คาดว่าจะทำให้ภายในปีหน้า บริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมียอดขายประมาณ
3,000 ล้านบาท และกำไรสุทธิประมาณ 380-400 ล้านบาท
ลุยตลาดเพื่อนบ้าน
หลังไตรมาส 2 ปีหน้า บริษัทเตรียมจะรุก ปล่อยสินเชื่อภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งประกอบด้วย
ลาว เวียดนาม และกัมพูชา ขณะนี้ส่งทีมงานสำรวจพื้นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุผลที่เลือกลงทุนภูมิภาคนี้
เพราะความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมีค่อนข้างน้อย ขณะที่การกำหนดอัตราดอกเบี้ย
สูงกว่าในประเทศไทย
แต่การดำเนินการลงทุน ขึ้นกับเงื่อนไขแต่ละประเทศด้วย อย่างไรก็ดี คาดว่าการดำเนินการคงทำเอง
แต่หากจะมีพันธมิตร ประเทศนั้นๆ ร่วมทุน ไมด้าคงต้องเป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วนมากกว่า
ยอดหนี้เสียต่ำ
นายวิวัฒน์กล่าวต่อว่า ยอดหนึ้เสียบริษัทค่อนข้างต่ำเฉลี่ยเพียง 2% ของยอดสินเชื่อรวม
จากเป้าที่ตั้งไว้ 5% โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนภูมิภาค ค่อนข้างขยายตัวสูง เพราะผู้ประกอบการรายอื่น
ไม่ค่อยมีใครทำ เนื่องจากยังไม่ศึกษารายละเอียด ตลาดภูมิภาคเท่าที่ควร
ปีที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการที่ดี และเติบโตต่อเนื่อง เห็นได้จากรายได้ที่เติบโตสูงเฉลี่ย
22% ต่อปีช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2542 มีรายได้ 545 ล้านบาท ปี 2543 รายได้
665 ล้าน บาท และปี 2544 รายได้ 750 ล้านบาท คาด ว่าจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาดหลัก
ทรัพย์ ชำระหนี้คืนบางส่วน บริษัทจะยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไตรมาส
2 ปีหน้า
ไดสตาร์ยอดเช่าซื้อสูง 50%
ด้านนายวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ไดสตาร์ อิเล็คทริกส์
คอร์ปอ-เรชั่น จำกัด (มหาชน) (DISTAR) ผู้ผลิต-จำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อไดสตาร์
เปิดเผยยอดขายบริษัทปีนี้ว่า จะประมาณ 2,000 ล้านบาท โดย 50% ของยอดขายทั้งหมด
หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท จะมาจากธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนที่เหลือ 1,000 ล้านบาท
เป็นรายการขายปกติ
แบ่งเป็นรายได้จากภายในประเทศไทย 95% ส่วนที่เหลือ 5% จากการส่งออก ส่วนรายได้ภายในประเทศไทย
เติบโตประมาณ 10% จากปีที่แล้ว สาเหตุที่อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นมาก เพราะคนไทยคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าระบบเงินผ่อน
"ผมยอมรับว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเป็น โอกาสดีที่ทำให้ธุรกิจเช่าซื้อเติบโต
เพราะกำลังซื้ออ่อนตัวลง ทำให้การขายแบบมีเงื่อนไข มีโอกาสเติบโต แต่บริษัทที่ทำธุรกิจนี้ต้องมีระบบควบคุมที่ดี
เพราะอาจเกิดปัญหาได้ ขณะที่ช่องว่างตลาดระดับกลางในภูมิภาคเอเชีย มหาศาล
และเชื่อว่ากำลังขยายตัวแบบไม่มีขอบเขต" นายวิวัฒน์กล่าว
เดินหน้าเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 2 ปีหน้า
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส
จำกัด (มหาชน) (ASSET) ในฐานะที่ปรึกษาการ เงิน เปิดเผยว่าแผนนำบริษัท ไมด้า
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คาดสามารถดำเนินการได้ประมาณไตรมาส 2 ปีหน้า
โดยจะระดมเงินจากการเสนอขายหุ้นประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 1,000 ล้านบาท
เพื่อนำเงินขยายสาขาและขยายการผลิตสินค้า
ส่วนแผนขายหุ้นบริษัทจดทะเบียนอื่น ที่ บล.แอสเซท พลัส รับเป็นที่ปรึกษาการเงิน
ยังคงเป็นไปตามแผนเดิม คาดว่าบริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้จะเสนอขายหุ้นไอพีโอได้ประมาณ
สัปดาห์ที่ 3 ของพฤศจิกายน ส่วนบริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดีย คาดว่าจะเสนอขายหุ้นได้ประมาณต้นธันวาคม
"ตอนนี้เป็นช่วงที่บริษัทต้องคุยกับที่ปรึกษาการเงิน เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของบริษัทและนักลงทุน
อย่างไรก็ดี หากภาวะตลาด หุ้นไม่ดี ถึงขึ้นซบเซารุนแรง อาจเลื่อนขายหุ้นออกไป
แต่ภาวะวันนี้ ยังถือว่าสามารถจัดการได้" นายก้องเกียรติกล่าว