วอลเตอร์ ไมเยอร์ กับเวลาที่เหลืออยู่


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมของคณะกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ซึ่งผลของการประชุมในวันนั้นคือการประกาศแต่งตั้งดร.อดุลย์ อมรวิวัฒน์เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่สืบต่อจากเอ็ดการ์ โรเด็ลซึ่งจะเกษียณอายุในปลายปีนี้

การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการสร้างประวัติศาสตร์การเป็นคนไทยคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งนี้ของบริษัทยักษ์ใหญ่อายุกว่า 100 ปี แห่งนี้ของดร.อดุลย์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ของการบริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ที่มีกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดด้วย

สถานการณ์ของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ในวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ในนามของบริษัทฮอลแลนด์ แปซิฟิค บี วีในจำนวนหุ้นมากที่สุดคือ 2,651,860 หุ้นจากทั้งหมด 7 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 37.88 % อีกต่อไปแล้ว

แต่แท้ที่จริงกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคยังเป็นผู้ถือหุ้นของเบอร์ลี่อีก 13 % ในชื่อของบริษัทมัลติเพอร์โพสต์ซึ่งมีหุ้นอยู่มากเป็นอันดับ 2 นั่นคือผู้ทีถือหุ้นของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์มากเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 คือบริษัทในกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนล โดยรวมทั้งสิ้นแล้วมีหุ้นอยู่ในสัดส่วนถึง 50.88 %!

บริษัท มัลติเพอร์โพสต์ เทรดดิ้งเป็นบริษัทที่มีจำนวนหุ้นอยู่ทั้งหมด 1,000 หุ้นในจำนวนนี้เป็นหุ้นของกลุ่มบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่แนลจำนวน 490 หุ้นที่เหลืออีก 510 หุ้นเป็นหุ้นที่ถือไว้ในนามของบริษัท บีเคเอส (ประเทศไทย) จำกัด และทนายความอีก 5 คน จากบริษัท เบเกอร์ แมคเคนซี่ อย่างเช่นอธึก อัสวานันท์

"บริษัท บีเคเอส เป็นบริษัทในโฮลดิ้งคอมพานีของบริษัทเบเกอร์ แมคเคนซี่นั้นแหละ และบริษัทบีเคเอสเอง ก็เป็นบริษัทที่ถือหุ้นในฐานะ PROXY ของกลุ่มบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิค เพื่อจะทำให้บริษัทนี้มีสัญชาติไทย" แหล่งข่าวในวงการธุรกิจรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงกลไกการถือหุ้นทางอ้อมของ เฟิร์ส แปซิฟิค เพื่อการเป็นผู้ที่ถือเสียงข้างมากในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์

และแล้ว เรื่องราวก็เข้ารอยเดิมของทุก ๆ บริษัทที่เรียกได้ว่า "เป็นเรื่องธรรมดา" ในเมื่อผู้ถือหุ้นต้องการที่จะมีหุ้นเพิ่มมากขึ้น และเมื่อมีมากขึ้นก็ย่อมต้องการมีสิทธิ์มีเสียงในบริษัทมากขึ้นแล้วก็ก้าวย่างเลยไปถึงการต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารมากขึ้น นั่นคือการเข้าไปเป็นผู้บริหารเสียเองหรือไม่ก็ส่งคนของตน เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้จัดการใหญ่

"เรื่องธรรมดา" อย่างนี้ไม่ต้องบอกเพราะเฟิร์ส แปซิฟิคนั้นรู้ยิ่งกว่ารู้ประสบการณ์ทางด้านนี้ของยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง ที่มีขาใหญ่อย่าง ลิม ซู เหลียงมหาเศรษฐีโลก คอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั้นมีมากยิ่งกว่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นองค์กรที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและค่อนข้างที่จะกล้ารุก กล้าเสี่ยงของเฟิร์ส แปซิฟิคที่เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ AGGRESSIVE ด้วยแล้วแต่กลับต้องมาเจอกับผู้บริหารสไตล์เบอร์ลี่ฯที่ค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทิฟจึงทำให้ความคิดเกี่ยวกับการเข้าเป็นผู้บริหารเสียเองมีมากยิ่งขึ้น

"เฟิร์ส แปซิฟิคเขาก็อยากที่จะให้เบอร์ลี่ฯ เป็นกลุ่มที่มีลักษณะไดนามิคส์เหมือนกันเขาเข้ามาลงทุนในเบอร์ลี่ฯเขาก็ต้องการที่จะให้เบอร์ลี่ฯทำกำไรทำประโยชน์ให้กับเขาเท่าที่ควร ซึ่งเป็นธรรมชาติของนักลงทุนทั่วไป" แหล่งข่าวในวงการการเงินการลงทุนกล่าวกับ"ผู้จัดการ"

ทางวอลเตอร์ ไมเยอร์ ประธานกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ก็ยอมรับว่ามีความพยายามที่จะผลักดันโครงการบางโครงการโดยเฟิร์ส แปซิฟิค แต่ไม่เป็นผล

"ทางเฟิร์ส แปซิฟิค เขาก็พยายามที่จะมีข้อเสนอให้ทางเบอร์ลี่ฯ AGGRESSIVE มากกว่านี้ มีกำไรมากกว่านี้เขาเสนอโครงการบางโครงการมาที่เราไม่ค่อยจะรู้จักเท่าไหร่ เราก็ต้องอาศัยเวลาในการศึกษา แต่มันก็เป็นความก้าวหน้าที่มีเขาเข้ามาเป็นกรรมการของเรา เขาช่วยเรามาก แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงมากหรือเปล่า" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าว

"ถ้าจะว่าเราคอนเซอร์เวทีฟ ผมว่ามันไม่ค่อยจะถูกนัก อัตราการเติบโตของกิจการของเรามีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะทางด้านการลงทุน ทางด้านสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น เราจะไปโถมแข่งกับลีเวอร์กับพีแอน์จีไม่ได้ เราอาจจะแข่งกับเขาได้ในระยะสั้นแต่ระยะยาวมันไม่ใช่ เราเป็นบริษัทที่เกิดขึ้นที่นี้เราไม่ได้มีบริษัทแม่จากที่อื่นเราไม่มีสายป่านยาวเท่าเขา ที่จริงเราก็อยากที่จะไปเร็ว ๆ แต่ก็ต้องเป็นไปตามกำลังของเรา" ดร.อดุลย์ อมรวิวัฒน์ ว่าที่ผู้จัดการใหญ่ของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ต่อความเห็นที่ว่าเบอร์ลี่ฯคอนเซอร์เวทีฟเกินไป

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์คอนเซอร์เวทีฟในสายตาของคนภายนอก อย่างไร เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ก็ยังคงเป็นป้อมปราการที่วางรากฐานมากว่า 100 ปี ซึ่งย่อมมีฐานที่กว้างมากทั้งในด้านของกิจการทางด้านเทรดดิ้งและMANUFACTURING พร้อมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่กว่า 18,000 แห่ง และบริษัทในเครืออีกราว 20 บริษัท เท่านี้เบอร์ลี่ฯก็น่าที่จะเป็นฐานกำลังที่ดี หากว่าเฟิร์ส แปซิฟิค ต้องการที่จะบรรลุยุทธศาสตร์ของธุรกิจตามที่มนูเอล ปังกิลินัน MANAGING DIRECTOR ของ FIRST PACIFIC INTERNATIONAL ได้เคยกล่าวไว้ในรายงานแก่ผู้ถือหุ้นเมื่อปีที่แล้วว่า "เป้าหมายยุทธศาสตร์ธุรกิจของกลุ่มบริษัทเฟิร์ส แฟซิฟิคอยู่ที่ภูมิภาคย่านเอเซีย-แปซิฟิค ไม่ใช่อเมริกาและยุโรป"

นอกจากนี้ในรายงานการวิจัยของ เฟิร์ส แปซิฟิค ที่ฮ่องกงที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ได้ระบุว่า "ประเทศไทยมีศักยภาพการลงทุนที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเซียนนี้"

เฟิร์ส แปซิฟิคนั้นมีเป้าหมายที่แน่ชัด มีทิศทางที่ชัดเจนการพยายามที่จะมีส่วนในการบริหารให้มากขึ้นจนถึงขั้นเป็นผู้บริหารเสียเอง และจากเหตุผลที่กล่าวมาก็น่าที่จะสมเหตุสมผลเพียงพอซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ว่าเรื่องธรรมดาของเฟิร์ส แปซิฟิคเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสูยเสียอำนาจของทางฝ่ายผู้ที่มีอำนาจบริหารเก่าอย่างวอลเตอร์ ไมเยอร์เข้า เรื่องธรรมดาอีกเรื่องก็เลยเกิดขึ้นคือเรื่องของการปกป้องผลประโยชน์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยวได้ยากในเมื่อเรื่องธรรมดาสองเรื่องที่มีความขัดแย้งกันแต่มาเกิดขึ้นในที่ที่เดียวกันคือที่บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์แห่งนี้

"วอลเตอร์ ไมเยอร์เขาฉลาด และเขารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และเขาก็เตรีมการป้องกันมานานร่วม 2 ปี" แหล่งข่าวในวงการบริหารกล่าวกับ "ผู้จัดการ" จากข้อสังเกตที่มีการแตกหุ้นของเบอร์ลีฯจาก 7 ล้านหุ้นเป็น 70 ล้านหุ้น ในเดือนตุลาคมปี 2530 เพื่อกระจายหุ้นมากยิ่งขึ้น การเทคโอเวอร์จึงค่อนข้างที่จะลำบาก นอกจากนี้เกี่ยวกับการแต่งตั้งครั้งนี้ข้อสังเกตว่าวอลเอตร์ไมเยอร์ได้เตรียมการมา 2ปี แล้วเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อมีการโยกย้ายตำแหน่งของ ดร.อดุลย์ อมตวิวัฒน์, ประเสริฐ เมฆวัฒนา และโฟลเกอร์ ฟิชเชอร์ จากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายมาเป็นที่ปรึกษาเมื่อ 2 ปีก่อนและมาดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการทั้ง 3 คนในปีที่แล้ว จนกระทั่งเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการใหญ่จากตำแหน่งรองผู้จัดการซึ่งจะเหลือเพียงขั้นตอนของการให้ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการใหญ่มีตำแหน่งเป็นกรรมการเท่านั้น

"การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตำแหน่งทั้ง 3 คนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้มันมีเซ้นส์บางอย่างที่บอกเราได้" แหล่งข่าวกล่าว

กรรมการของบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์จะมีเทอมของการดำรงตำแหน่งอยู่ 3 ปี สำหรับเอ็ดการ์ โรเด็ลนั้นเขาเคยอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนครบเทอมมาแล้ว แต่มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่ออีก 1 เทอม ซึ่งเขาอยู่ในตำแหน่งได้อีกเพียงปีเดียวก็ต้องเกษียณอายุตามกฏข้อบังคับของบริษัท การต้องออกก่อนครบวาระนี้เป็นจังหวะที่คณะกรรมการสามารถที่จะแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนโรเด็ลต่ออีก 2 ปีตามเวลาที่เหลือของโรเด็ลโดยจะมีการรายงานให้ผู้ถือหุ้นรับทราบและเป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ซึ่งในกลุ่มของคณะกรรมการนั้นวอลเตอร์ ไมเยอร์เป็นประธานและยังสามารถประสานประโยชน์ของกรรมการอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเสนอชื่อดร.อดุลย์ เข้ารับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในปลายปีนี้จึงไม่น่าที่จะเป็นปัญหา

แต่โดยตำแหน่งของเอ็ดการ์ โรเด็ลนั้นนอกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทแล้วเขายังมีตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ที่จะต้องว่างลงในปลายปีนี้ด้วย

ทางด้านเฟิร์ส แปซิฟิคเองก็ย่อมรู้ดีว่าโรเด็ลจะมีอายุการทำงานอยู่เพียงปีนี้ปีเดียวในปลายปีก็ต้องมีการประกาศแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้ใหม่ การติดต่อหาคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ของทางเฟิร์ส แปซิฟิคเองก็เริ่มขึ้นในต้นปีนี้โดยการติดต่อให้บริษัท HEAD HUNTER อย่างบอยเดน แอสโซซิเอทเป็นคนจัดการและวีรชัย วรรณึกกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารศรีนครก็อยู่ในข่ายนั้นด้วย

"สไตล์การทำงานของวีรชัยอานจะเป็นที่ชื่นชอบจากทางฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิคก็ได้เพราะวีรชัยมักจะถูกดึงตัวไปบริหารในองค์กรที่ค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทีฟ มีเทคนิคการบริหารใหม่ ๆ มีนโยบายขยายฐาน ขยายงานให้กว้างขึ้น ซึ่งเป็นสไตล์ใกล้เคียงกับทางฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิค" แหล่งข่าวกล่าวถึงความพยายามของเฟิร์ส แปซิฟิค ที่จะหา ตัวแทนของตนเองในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ โดยอาจตั้งใจว่ากว่าจะถึงสิ้นปีที่จะมีการเลือกสรรตนเองก็น่าจะพอที่จะหาแนวร่วมสนับสนุนวีรชัยในกลุ่มกรรมการได้แม้ว่าในขณะนี้จะมีอยู่เพียง 5 คนจาก 15 คนเท่านั้น

แต่เงื่อนไขการเลือกสรรคนที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้กลับมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา โดยการตั้งกรรมการเลือกสรรขึ้นมาก่อน ประกอบด้วย ปิติ สิทธิอำนวย ผู้แทนของธนาคารกรุงเทพฯซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 4% , เอ็ดเวิร์ด เอ. ทอร์ทอริชี่ กรรมการจากทางฝ่ายของเฟิร์ส แปซิฟิคเองและวอเตอร์ ไมเยอร์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัท ทั้ง 3 คนตั้งเป็น SUB-COMMITTEE ในการที่จะเลือกสรรคนที่เหมาะสมเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทั้ง 15 คนในวันที่ 19 กรกฏาคมที่ผ่านมา โดยมีบริษัทบอยเด้นฯเป็นผู้ที่ช่วยเลือกหาคนจากภายนอกบริษัทมาเสนอต่อ SUB-COMMITTEE ด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าชื่อของวีรชัย วรรณึกกุลคนที่เฟิร์ส แปซิฟิคเสนอย่อมที่จะเป็นชื่อหนึ่งที่ถูกเสนอในการประชุมของ SUB-COMMITTEE เพื่อการเลือกสรรแต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อต่อคณะกรรมการใหญ่ในส่วนนี้

"ในการพิจารณาเกี่ยวกับผู้จัดการใหญ่คนใหม่นี้เราพิจารณาทางเลือกหลายคน มีทั้งคนที่มีความสามารถจากนอกเบอร์ลี่ฯและเราก็พิจารณาถึงคนภายในของเราเองด้วย เมื่อดูแล้วทาง SUB-COMMITTEE ก็เลือกดร.อดุลย์ คนภายในบริษัทเราที่เราเชื่อมั่นในความสามารถ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการเพียงคนเดียว ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการในวันที่ 19 กรกฏาคมก็เห็นด้วยกับการที่จะมาสืบตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ในปลายปีนี้ของดร.อดุลย์"วอลเตอร์ ไมเยอร์ ประธานกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์วัย 74 ปี กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงการเลือกสรรผู้จัดการใหญ่คนใหม่

แต่ในบางความคิดกลับเห็นว่านี้เป็นอคกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นความเจนจัดทางการบริหารของวอลเตอร์ ไมเยอร์ผู้ที่ใช้ชีวิตเกือบครึ่งชีวิตในการทำงานให้กับเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ "วอลเตอร์ ไมเยอร์ได้ใช้ช่วยเวลานี้ที่ถึงแม้ว่าเฟิร์ส แปซิฟิคจะสามารถถือครองหุ้นได้มากกว่ามาก แต่จำนวนกรรมการที่มีอำนาจในการเลือกสรรและแต่งตั้งผู้จัดการใหญ่นั้นยังมีเพียง 5 คนจาก 15 คนเท่านั้น และการเพิ่มขั้นตอนการมี SUB-COMMITTEE ที่มีคนคุ้นเคยกับไมเยอร์อย่างปีติอยู่ด้วยแล้วก็เป็นเสียง 2 ใน 3 ของ SUB-COMMITTEE ซึ่งย่อมเป็นการปิดประตูแพ้ในเรื่องการเสนอคนของตนขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่" แหล่งข่าวในวงการบริหารรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

"การประกาศเสียแต่ตอนนี้อาจเป็นการประกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าช่องทางใดช่องทางหนึ่งหรืออย่างน้อยก็เป็นยันต์กันโผพลิกได้บ้าง" แหล่งข่าวกล่าว

ซึ่งแตกต่างจากความเห็นของ ดร. อดุลย์ อมตวิวัฒน์ ว่าที่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ที่ทำงานให้กับเบอร์ลี่ฯมาร่วม 10 ปี

"เวลาที่เขาใช้ในการเลือกสรรและแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคราวนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เรียกว่าเร็วเกิน เพราะปกติแล้วเราก็จะมีการแต่งตั้งก่อนล่วงหน้า 1 ปี เพื่อที่จะได้ให้คนใหม่ที่จะมาทำหน้าที่นั้นได้มีโอกาสศึกษางานก่อนที่จะมาทำงานจริงและที่จริงแล้วการประกาศแต่งตั้งครั้งนี้ของเราเป็นเพียงการภายในเท่านั้น เราต้องการที่จะบอกกับพนักงานภายในบริษัทได้รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรหลังจากที่โรเด็ล ออกไปแล้ว เราประกาศก็ใช้เพียงกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีการแถลงข่าว จนกระทั่งมีการทำกันเป็นข่าวเราก็เลยต้องประกาศออกมาเพื่อต้องการให้สื่อมวลชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และสำหรับในปลายปีนี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นมันเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเท่านี้นไม่มีการลงคะแนนเสีย" ดร.อดุลย์กล่าว

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการประกาศให้ผู้ถือหุ้นรับทราบเท่านั้นก็ตาม แต่การทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานประโยชน์ในการแต่งตั้งครั้งนี้ของวอลเตอร์ ไมเยอร์ ก็ทำหน้าที่อย่างรอบคอบเพื่อสร้างการยอมรับการรับตำแหน่งสำคัญนี้ของดร.อดุลย์ ด้วยการขอความเห็นจากผู้ถือหุ้นรายอื่นนอกเหนือจากกรรมการใน SUB-COMMITTEE ด้วยกันแล้ว เช่นกลุ่มโอสถานุเคราะห์ที่มีหุ้นของเบอร์ลี่ฯ อยู่ถึง 12 % โดยผ่านทางสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์

"เรามีการพูดคุยกับผู้ถือหุ้นหลายฝ่าย คุณสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ เราก็ได้ขอคำแนะนำ และเขาก็เห็นด้วยสำหรับ ดร.อดุลย์ ทางเราที่เป็น SUB-COMMITTEE ก็เสนอต่อคณะกรรมการ และได้มีการประกาศเพื่อที่จะลดข่าวลือที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องจากเรา ซึ่งหลายฝ่ายก็ยอมรับ ดร.อดุลย์ ทางเฟิร์ส แปซิฟิคก็เห็นด้วย เราคุยกันแล้วไม่มีปัญหาอะไร" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงสิ่งที่เป็นข้อตกลงยอมรับของผู้ถือหุ้นรายใหญ่

หากเราจะพิจารณา เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ อย่างเช่น ปิติ สิทธิอำนวย ผู้เป็นตัวแทนของธนาคารกรุงเทพ และสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ที่เหมือนกับตัวแทนของกลุ่มโอสถานุเคราะห์ที่มีบทบาทในการเลือกสรรผู้จัดการใหญ่ครั้งนี้แล้วเราจะเห็นว่า ทั้ง 2 ส่วนนี้มีลักษณะของการเป็นนักลงทุนเป็น INVESTOR ที่ต้องการเงินปันผลจากหุ้นส่วนที่เขาได้ซื้อไว้ ซึ่งเขาย่อมไม่ต้องการความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นในการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหารเป็นกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค ตราบใดที่กลุ่มผู้บริหารของวอลเตอร์ ไมเยอร์ ยังสามารถดำเนินธุรกิจและสามารถมีเงินปันผลที่ดี ซึ่งเมื่อพิจารณาการลงทุนในด้านต่าง ๆ ก็เป็นแนวโน้มที่จะสามารถเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้มากกว่าปัจจุบัน ประกอบกับความรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนกับไมเยอร์ ผลของการตกลงจึงออกมาในการให้การสนับสนุน ดร.อดุลย์ และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการของบริษัท ไม่ว่าทางกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิค จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

การแต่งตั้ง ดร.อดุลย์ อย่างเป็นทางการกำลังจะมีขึ้นในปลายปีนี้ อำนาจการบริหารบริษัทเก่าแก่ที่วอลเตอร์ไมเยอร์ได้ลงแรงพลิกฟื้นธุรกิจตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมตำแหน่งสำคัญตำแหน่งนี้จึงต้องเป็นของ ดร.อดุลย์ ทำไมไม่เป็นของรองผู้จัดการคนอื่นที่เหลืออีก 3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเสริฐ เมฆวัฒนา ที่ทำงานในเบอร์ลี่ฯ มานานกว่า ดร.อดุลย์ หรือทำไมไมเยอร์ ถึงไม่เลือกที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้กับ ดร.นิติ ไมเยอร์ ลูกชายของตน

"วอลเตอร์ ไมเยอร์ คงอยากเสนอ ดร. นิติเหมือนกัน แต่คงยังไม่ถึงเวลา ถ้าลองพิจารณาดูแล้วมันจะน่าเกลียดเกินไป อายุ ดร.นิติยังน้อย ประสบการณ์ยังไม่พอ แต่เชื่อได้ว่าหากวอลเตอร์ ไมเยอร์ยังสามารถประสานกลุ่มบริหารได้ดีอยู่ละก็ ดร.นิติต่อไปในอนาคตก็ได้ ซึ่งบริษัทอื่นๆ กว่า 60% ก็ทำอย่างนี้ ให้คนอื่นขัดตาทัพไว้ก่อนแล้วกระซิบข้างหูว่า 2 ปีนะ แล้วก็เอาลูกหลานของตนเองขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว

แต่ใครจะเข้าใจการแต่งตั้งครั้งนี้ได้เท่ากับวอลเตอร์ ไมเยอร์

"รองผู้จัดการทั้ง 4 คน ต่างก็มีหวังกันทั้งนั้น แต่ทางคณะกรรมการเองเห็นด้วยกับการที่ต้องการอยากจะให้ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่นี้เป็นของคนไทยเสียที เพราะในประวัติศาสตร์ตลอด 107 ปี ไม่เคยมีเลย ทางเลือกก็เหลือ นิติ, ประเสริฐ แล้วก็ อดุลย์ เพราะฟิชเชิร์เป็นเยอรมัน นิตินั้นอายุยังน้อย เขาต้องเรียนรู้อีกมาก ประเสริฐอายุ 41 ปี อดุลย์อายุ 51 ปี ถึงแม้ว่าประเสริฐจะทำงานให้กับเบอร์ลี่ฯมานานกว่า ดร.อดุลย์ แต่เราต้องมองความเหมาะสมสำหรับในอนาคตที่เรากำลังจะก้าวไปสู่ทางด้านอุตสาหกรรม ดร.อดุลย์เขามีประสบการณ์ทางด้านนี้มามาก การศึกษาเขาก็จบทางด้านวิศวกรเคมีมา เราก็เลือก ดร.อดุลย์ ซึ่งเราก็ได้เปรียบเทียบกับคนภายนอกที่ถูกเสนอชื่อเพื่อการพิจารณาแล้ว เราเห็นว่าการที่เป็นคนภายในบริษัทก็เป็นผลดีทางด้านกำลังใจของคนทำงาน และไม่ทำให้เกิดความขัดแข้งกับพนักงานด้วย เพราะอดุลย์เองเป็นผู้ที่เป็นที่ยอมรับมากในบริษัท" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงเหตุผลการเลือก ดร.อดุลย์สำหรับตำแหน่งนี้

"สำหรับนิติแล้ว ผมบอกเขาตั้งแต่เขาจะเข้ามาทำงานในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แล้วว่าผมจะไม่ช่วยเหลืออะไร ผมบอกลูกชายว่าถ้าต้องการเป็นท้อปออฟเดอะท้อป ต้องพิสูจน์ตัวเอง ให้คนในบริษัทยอมรับด้วยตัวของเขาเอง ผมไม่ใช่คนที่จะมายอกย่องลูกของตัวเองขึ้นเหนือคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ความสามารถยังไม่ถึง "วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวถึงความเห็นที่มีต่ออนาครทางการยริหารของ ดร.นิติ ไมเยอร์ ลูกชายของเขา"

และในที่สุดชื่อของ ดร.อดุลย์ก็ได้เป็นชื่อเดียวที่จะขึ้นแท่นรอเวลาปลายปีที่จะได้รับเหรียญตราแต่งตั้งอย่างเป็นทางการที่หลายคนอาจเห็นว่าเป็นการขัดขวางทางเดินของเฟิร์ส แปซิฟิคอยู่มากในการส่งคนขึ้นตำแหน่งทางการบริหารนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การขึ้นมารั้งตำแหน่ง ของดร.อดุลย์ครั้งนี้อาจเป็นอีกหนทางหนึ่งในการลดช่องว่างของสไตล์การบริหารของฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิคกับของกลุ่มไมเยอร์ให้ลดลง จะเห็นได้ว่าการออกมายอมรับถึงความคอนเซอร์เวทีฟ ทางการบริหารของตนเอง ของไมเยอร์เองและการเลือกสรรที่มีความพยายามที่ทจะหาคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้น มีความคิดก้าวหน้ามีความ AGGRESSIVE มากขึ้น ซึ่งถ้ามองในสายตาของนักลงทุนอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค แล้วก็น่าที่จะพอใจในระดับหนึ่งถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

"ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาเราค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทีฟนิดหน่อย แต่ในปีหน้าและต่อไปเราจะก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม เราพยายามที่จะหาคนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะมาทำหน้าที่ในการบริหารงานพยายามที่จะให้ค่อนข้างแอกเกรสสีฟมากขึ้น" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

คนรุ่นใหม่ที่จะมาทำหน้าที่ลดช่องว่างทางการบริหารในครั้งนี้ก็คือ ดร.อดุลย์ อดีตกรรมการผู้จักการบริษัท รูเบีย ที่เป็นอุตสาหกรรมหัวใจทางด้านการผลิตสินค้าของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ อย่างได้ผลดี ความรู้ระดับปริญญาโทและเอกทางด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยลอนดอน ร่วมกันทำงานในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มานาน 11 ปี ตั้งแต่ปี 2519 เป็นอีกคนหนึ่งที่วอลเตอร์ ไมเยอร์ให้ความไว้วางใจที่จะนำความแข็งแกร่งทางภาคอุตสาหกรรมมาสู่เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ซึ่ง ดร.อดุลย์ก็ได้เป็นตัวหลักในการพัฒนาโครงการทางด้านอุตสาหกรรมตาง ๆ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างโรงงานใหม่ของบริษัทไทยกลาส ซึ่งเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ถือหุ้นอยู่ 42 % เพื่อพัฒนาให้เป็นโรงงานผลิตแก้วที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วยเงินลงทุน 800 กว่าล้านบาทที่อำเภอบางพลี สมุทรปราการหรือโครงการสร้างตึกสำนักงานรวมของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ บนเนื้อที่ 7ไร่กว่า เพื่อการประสานงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ และโครงการที่ทำร่วมกับบริษัทแป๊ปซี่โค ในการผลิตอาหารทางเล่น ในชื่อบริษัท สยามสแน็ค ที่กำลังจะสร้างโรงงานเป็นของตนเองแทนการเช่าที่ซอนเทพารักษ์ ทั้งสามโครงการเป็นโครงการระยะสั้นทีรุกคืบไปสู่การเป็นผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายอย่างครบวงจรซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว และจะเสร็จสิ้นทั้ง 3 โครงการภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ยังมีอีก 3-4โครงการที่อยู่ในขั้นการตกลงไม่ว่าจะเป็นการสร้าง

DISTRIBUTION CENTER ที่ซอยวัดกิ่งแก้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานของกระบวนการจัดจำหน่าย, โครงการ การรุกคืบไปในตลาดไดเร็กต์เซลล์, โครงกาตติดต่อซัพพลายเออร์จากต่างประเทศมาร่วมลงทุนในไทย โดยเฉพาะทางด้านอาหาร ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการที่จะสามารถลงมือเริ่มโครงการได้ในช่วง 3-4 ปี ข้างหน้า ประวัติศาสตร์การบริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์อาจจะเปลี่ยนไปถึงยุคที่มี ดร.อดุลย์เป็นผู้จัดการใหญ่ ซึ่งทางฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิคก็น่าที่จะหวังไว้เช่นนั้น เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการมีเงินปันผลที่ดี มีความก้าวหน้าของกิจการที่เขาลงทุน มีสไตล์การบริหารที่สามารถนำองค์กรไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะตราบใดที่ทางเฟิร์ส แปซิฟิคยังเห็นว่าการลงทุนในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์แห่งนี้ยังคุ้มค่า ยังมีกำไร การเข้าไปก้าวก่ายทางด้านการบริหารที่อาจจะนำมาสู่การปะทะและทำให้เกิดความขัดแข้งในองค์กร ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในสายตาของนักลงทุนระดับโลกอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรู้ได้อย่างแน่ชัด หากแต่ว่าพิจารณาสถานการณ์ในขณะนี้ของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ นั้นมีผู้ถือหุ้นเกิน 50 % เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งในปีนี้จำนวนกรรมการของกลุ่มนี้อาจจะมีเพียง 5 คน แต่เชื่อได้ว่าในปีต่อ ๆ ไปหากมีกรรมการของกลุ่มอื่นครบวาระ และต้องมีการเลือกผู้ที่จะมาเป็นกรรมการบริษัททดแทน เชื่อได้เลยว่าจะต้องเป็นคนของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิค อย่างไม่ต้องเดา ผู้บริหารระดับผู้จัดการใหญ่ในปีนี้ยังเป็นผู้ที่วอลเตอร์ ไมเยอร์มีส่วนอยู่มากในการเลือกสรรแต่งตั้ง แต่เมื่อ ดร.อดุลย์ ทำงานในหน้าที่จนครบกำหนดเทอมการเป็นกรรมการอีก 2 ปีข้างหน้า ใครจะรับรองว่า ดร.อดุลย์จะได้รับการแต่งตั้งกลับเข้าอีกในตำแหน่งเดิม

แต่อาจจะด้วยโครงการหลายโครงการของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นหลังจากที่เป็นเพียงแผนการในกระดาษมานาน จึงน่าจะมีส่วนที่ทำให้เฟิร์ส แปซิฟิคยังคงให้ความพยายามที่จะมีส่วนในการบริหารอย่างโจ่งแจ้งนัก เพราะอย่างน้อยในขณะนี้ก็สามารถถือครองหุ้นส่วนมากอยู่แล้วการที่อยู่เลื้องหลังคอยผลักดันระดับนโยบายหรือเป้ากำไรให้เป็นไปตามต้องการ ก็น่าที่จะทำได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการทำงานร่วมกับผู้บริหารกลุ่มใหม่ หากสามารถผลักดันการบริหารไปในทิศทางที่ต้องการได้มีผลกำไรเป็นที่พอใจ เฟิร์ส แปซิฟิคก็น่าที่จะแฮปปี้กับการเป็นผู้คุมทางด้านนโยบายเพียงอย่างเดียว คอยรับผลประโยชน์จากการดำเนินงานของผู้บริหาร ซึ่ง ดร.อดุลย์และทีมงานย่อมต้องรู้และเข้าใจว่าเฟิร์ส แปซิฟิคเองมีความต้องการอย่างไร

"ผมและผู้บริหารทุกคนเป็นมืออาชีพ เราบริหารเพื่อผู้ถือหุ้นของเรา" ดร.อดุลย์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือวิธีการทำธุรกิจของผู้บริหารในเฟิร์ส แปซิฟิคที่มีกจะมีการขายกิจการที่ตนเองสามารถถือครองหุ้นส่วนใหญ่ได้เมื่อเวลาที่สมควรมาถึง นั้นคือเมื่อมีผู้เสนอราคาที่เฟิร์ส แปซิฟิคเห็นว่าสามารถทำกำไรให้กับกลุ่มธุรกิจได้มาก

วิธีการเช่นนี้อาจจะถูกนำมาใช้กับบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ก็ได้หากถึงเวลาที่เหมาะสม

ที่เฟิร์ส แปซิฟิคทำอยู่ในขณะนี้ก็คือการบำรุงเลี้ยงให้เบอร์ลี่ ยุคเกอร์โรพอที่จะขายได้เท่านั้น ซึ่งเฉพาะสินทรัพย์ บริษัทในเครือก็น่าที่จะขายได้มหาศาล รอเพียงเวลาเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีบางความคิดว่าเฟิร์ส แปซิฟิคคงไม่ขายเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แม้ว่าจะมีโอกาส เพราะเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ นั้นเป็นฐานทางด้านอุตสาหกรรมที่เฟิร์ส แปซิฟิคต้องการเพื่อเป็นฐานในหนทางการเข้าสู่ธุรกิจในย่านเอเชีญแปซิฟิคตามเป้าที่ได้วางไว้ แต่ทั้งสองทางเลือกล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

และยิ่งถ้าพิจารณาถึงมุมมองของนักลงทุนระหว่างประเทศอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนลแล้วจะเห็นว่าเขามีมุมมองที่กว้างกว่า เขาย่อมไม่ยอมให้ภาพของความขัดแย้งของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนกับกลุ่มผู้ถือหุ้นอย่างเด็ดขาด ราคาของหุ้นเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสิ่งที่เฟิร์ส แปซิฟิคคำนึงถึงอยู่เสมอมา สิ่งที่อาจมีผลกระทบจนก่อให้เกิดความขัดแข้งโดยไม่จำเป็น จึงน่าที่จะเป็นสิ่งที่เฟิร์ส แปซิฟิคหลีกเลี่ยง

ดังนั้นถึงแม้ว่าหุ้นที่มีอยู่ในครอบครองจะมีมากเกินกว่าครึ่งแต่สิ่งที่เฟิร์ส แปซิฟิคเลือกที่จะปฏิบัติก็คือความพยายามที่จะให้การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารเป็นไปอย่างที่ไม่โฉ่งฉ่าง หรือพยายามที่จะเข้าไปด้วยวิธีการที่นุ่มนวลที่สุดเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในองค์กร

แต่ความที่เป็นนักลงทุนย่อมไม่ยอมที่จะสูญเสียประโยชน์โดยไม่จำเป็น ถ้าการบริหารเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในยุคของดร. อดุลย์ ไม่สามารถสนองต่อเป้าประสงค์ของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคได้แล้วสิ่งที่จะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะการบริหารกิจการเองย่อมที่จะควบคุมให้เป็นไปในทิศทางและสู่เป้าหมายที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายกว่า

ถึงแม่ว่างทางวอลเตอร์ ไมเยอร์ เองจะเคยมีการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร (WRITTEN AGREEMENT) กับทางเฟิร์ส แปซิฟิคอินเตอร์เนชั่นแนล ถึงการที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายทางด้านการบริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ก็ตาม แต่ใครจะยอมให้เบอร์ลี่ ยุคเกอร์มีการบริหารงานที่ตนเองไม่เห็นด้วย ในขณะที่เฟิร์ส แปซิฟิคมีฐานะที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนหุ้นที่มีอยู่ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เมื่อลงทุนไปมาก เฟิร์ส แปซิฟิคก็ต้องการผลตอบแทนมากเป็นธรรมดา การยึดอำนาจบริหารอย่างฉันมิตรคงได้เห็นอีกไม่นาน

เชื่อเถอะว่า ใต้ผ้านี้ไม่มีอะไรแน่นอน…หรือว่าคุณจะเชื่อใน WRITTEN AGREEMENT ??



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.