เจ้าของทูน่า"ซีฮอร์ส"แตกธุรกิจจัดสรร


ผู้จัดการรายวัน(14 กันยายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

เจ้าของธุรกิจปลาทูน่ากระป๋องแบรนด์ Seahorse ไม่หวั่นอสังหาฯซบขอแตกไลน์ธุรกิจจัดสรรเต็มตัว นำร่องงัดแลนด์แบงก์ย่านเทพารักษ์ ผุดบ้านเดี่ยวพร้อมขายภายใต้แบรนด์ "คาแนลวิลล์ศรีนครินทร์" มูลค่าถึง 400 ล้านบาท หวังรองรับการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิอย่างเป็นทางการ เล็งปีหน้าลุยต่อพัฒนาที่ดินย่านฝั่งธนบุรีอีกไม่ต่ำกว่า 2 โครงการ

นายสมศักดิ์ อวกุล ประธานกรรมการ บริษัท ชูยศและบุตร จำกัด หรือที่รู้จักกันดีในแวดวงอุตสาหกรรมที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องภายใต้แบรนด์ "Seahorse" ของเมืองไทย เปิดเผยว่าบริษัทได้นำที่ดินสะสม (แลนด์แบงก์) ที่เก็บไว้ถึง 20 ปีย่านเทพารักษ์ บนเนื้อที่กว่า 20 ไร่ นำมาพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวพร้อมขายภายใต้แบรนด์ "คาแนลวิลล์ ศรีนครินทร์" เพื่อรองรับการเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิภายหลังที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการเปิดใช้ได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ประกอบกับเล็งเห็นศักยภาพของพื้นที่โดยรอบของสนามบินที่จะส่งผลดีต่อลูกค้าและโครงการของบริษัทในอนาคต

โดยรูปแบบของโครงการจะประกอบด้วยบ้านเดี่ยวจำนวน 40 ยูนิต พื้นที่ตั้งแต่ 110-130 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 8.98-14 ล้านบาท รวมมูลค่าการขายประมาณ 400 ล้านบาท โดยเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบนที่เป็นเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ซึ่งได้เปิดการขายมาตั้งแต่ต้นปี 2547 ขณะนี้มียอดขายแล้ว 16 ยูนิต มีการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าไปแล้ว 14 ยูนิต และในเดือนกันยายนนี้จะโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มอีก 2 ยูนิต

สำหรับแหล่งสินเชื่อนั้น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) เป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาโครงการประมาณ 40% ที่เหลือเป็นเงินทุนส่วนตัว อย่างไรก็ตาม เหตุผลหลักๆที่ธนาคาร กรุงไทยให้ความมั่นใจกับโครงการ แม้จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ในวงการ เนื่องจากด้วยความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ดี และฐานธุรกิจที่มั่นคงจากการผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋อง จนมียอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บริษัทชูยศและบุตร จำกัด มีทุนจดทะเบียน134 ล้านบาท ซึ่งเดิมแปลงที่ดินดังกล่าวถือครองโดยบริษัท เอส.เค. ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องแต่เมื่อหันมาบุกเบิกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงได้เปลี่ยนมาใช้บริษัท ชูยศและบุตร จำกัด ซึ่งจดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 2532 เป็นผู้ถือครองที่ดินแทน รวมถึงการที่จะเป็นบริษัทในการเข้าไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่องใน อนาคต

นายสมศักดิ์กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะพัฒนาโครงการต่อเนื่องในปี 2549 โดยจะนำที่ดิน 2 แปลง คือ ที่ดินบริเวณริมคลองทวีวัฒนา ใกล้สนามหลวง 2 ซึ่งเป็นแลนด์แบงก์มาเกือบ 10 ปีแล้ว เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ มาพัฒนาในรูปแบบโครงการอาคารพาณิชย์และทาวน์เฮาส์ เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง และอีกแปลงจะอยู่ที่ซอยเพชรเกษม 68 บนพื้นที่ 9 ไร่ คาดว่าจะพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ โดยตามแผนทั้งหมด คงจะพิจารณาถึงความเหมาะสมของการลงทุน กำลังซื้อในตลาด และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะมีทิศทางอย่างไรบ้าง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.