CPFให้บ.ลูกซื้อธุรกิจเนื้อสัตว์แปรรูปต่อยอดขึ้นแท่นผู้นำไส้กรอกไทยลดต้นทุนเพิ่มกำไร


ผู้จัดการรายวัน(12 กันยายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

CPF ซื้อธุรกิจเนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารพร้อมรับประทานเพื่อเสริมศักยภาพการเป็น "ครัวของโลก" ขึ้นเป็นผู้นำตลาดไส้กรอกของประเทศไทย ด้วยสัดส่วนตลาดกว่า 40% พร้อมได้ตลาดอาหารไทยแถบสแกนดิเนเวีย รวมถึงได้ตลาดและขยายฐานการผลิตเนื้อสุกรปรุงสุกทันที

นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมาคณะกรรมการบริษัท CPF มีมติอนุมัติให้บริษัท ซีพีเอฟ ผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ CPF ถือหุ้นทางตรง และทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 99.99 ของทุนที่ออกและชำระแล้วเข้าซื้อทรัพย์สินในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซี.พี.อินเตอร์ฟู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด (C.P. Interfood (Thailand) Company Limited : CPIF) โดยธุรกิจที่จะเข้าซื้อ ได้แก่ ธุรกิจการผลิต และจำหน่ายผลิต-ภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน บาโลน่า ลูกชิ้น แหนม หมูยอ นักเก็ต เบอร์เกอร์ และข้าวกล่องอาหารไทยสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นต้น

โดย ซี.พี.อินเตอร์ฟู้ดฯ เป็นผู้นำในตลาดไส้กรอกในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ ซีพี และมิสเตอร์ซอสเซส และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกสินค้าอาหารไทยพร้อมรับประทานไปยังประเทศต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป โดยเฉพาะในประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียน ซึ่งแบรนด์ Kitchen Joy ของ ซี.พี.อินเตอร์ ฟู้ด ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

การเข้าซื้อธุรกิจในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มบริษัท CPF ได้มาซึ่งฐานการผลิต ฐานลูกค้า ช่องทางการจัดจำหน่าย และส่วน แบ่งตลาดของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และอาหารแช่แข็งทันที อันจะทำให้ CPF เป็นผู้นำในตลาดไส้กรอกของประเทศไทย และยังเป็นการเสริม ธุรกิจการผลิตอาหารไทยส่งออกไปต่างประเทศของ CPF ให้มีความแข็งแกร่ง และมีตลาดที่หลากหลายขึ้น

นอกจากนี้ การรวมธุรกิจนี้ยังส่งผลให้ต้นทุนในการผลิต ต้นทุนในการทำการตลาดประชาสัมพันธ์ ต้นทุนในการขาย มีประสิทธิภาพดีขึ้น อันจะส่งผล ให้มีอัตราการทำกำไรให้สายธุรกิจนี้ดีขึ้นและการรวมธุรกิจในครั้งนี้ เป็นส่วนสุดท้ายในการ ต่อยอดให้กลุ่มบริษัท CPF ขณะ เดียวกันก็เป็นการรวมธุรกิจผู้ผลิตอาหารในประเทศไทยของเครือเจริญโภคภัณฑ์อย่างสมบูรณ์ ทรัพย์สินที่จะซื้อขายกันดังกล่าว ประกอบด้วย สินทรัพย์ถาวร สินค้าคงเหลือในมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท

โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดมูลค่าของสินทรัพย์ถาวร ประกอบด้วย ที่ดิน อาคารโรงงาน สำนักงาน และสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ และอื่นๆ มูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 785.5 ล้านบาท กำหนดมูลค่าโดยอ้างอิงจากราคาประเมินของผู้ประเมินราคาอิสระ และเกณฑ์ ที่ใช้ในการกำหนดมูลค่าสินค้าคงเหลือ ที่ประกอบด้วยสินค้าสำเร็จรูป สินค้าระหว่างผลิตวัตถุดิบ วัสดุสิ้นเปลือง และอื่นๆ มูลค่ารวมทั้งสิ้น ประมาณ 214.5 ล้านบาท กำหนดมูลค่า ตามราคาตลาด

อย่างไรก็ตาม มูลค่า ของสินค้าคงเหลือที่จะต้องชำระจริงอาจเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หรือลดลงจากจำนวนนี้ได หากปริมาณสินค้า ณ วันที่มีการส่งมอบเปลี่ยน แปลงไปจากปริมาณสินค้าที่ระบุไว้ในสัญญาข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญของ CPIF สำหรับงวดบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2547 มีดังนี้คือ ยอดขาย 2,906 ล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา 260 ล้านบาท กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี 177 ล้านบาท กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 111 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.