|
"อดิศร เสริมชัยวงศ์"กับภารกิจ ดันบลจ.ไทยพาณิชย์ผงาดเบอร์1
ผู้จัดการรายวัน(7 กันยายน 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
การขยับตัวของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด ภายใต้การนำของ อดิศร เสริมชัยวงศ์กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กำลังเป็นที่จับตามองของคนในแวดวงกองทุนรวม เพราะการที่บลจ.แห่งนี้สามารถถีบตัวด้วยการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) ภายใต้การบริหารจัดการจากเมื่อสิ้นปี 2547 ที่มีพอร์ตมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการจากประมาณ 42,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขยับมาเป็นกว่า 80,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการประสบความสำเร็จการขายหน่วยลงทุนได้เป็นอย่างดี
หากวิเคราะห์เจาะลึกถึงความเป็นมาของบลจ.แห่งนี้ แล้วจะพบว่าตัวแปรสำคัญที่ทำให้การขายหน่วยลงทุนประสบความสำเร็จคงต้องยกนิ้วให้แก่การผสมผสานการทำงานระหว่างบลจ.ไทยพาณิชย์ กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบลจ.แห่งนี้ ที่ตั้งธงชัดเจนว่า การทำธุรกิจของธนาคารไทยพาณิชย์จะมุ่งสู่การเป็นสถาบันการเงินที่ให้การบริการทางการเงินอย่างครบวงจร (ยูนิเวอร์แซลแบงก์) ความเป็น "ยูนิเวอร์แซล แบงก์" ได้ถูกนำมาใช้และผสมผสานการทำงานที่เป็นมืออาชีพของบลจ.ไทยพาณิชย์ ซึ่งทำให้แนวโน้มการขยายตัวของบลจ.แห่งนี้จะสามารถก้าวผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจกองทุนรวม ซึ่งตามเป้าหมายแล้วตั้งไว้ว่าปีหน้าจะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ถึงฝั่งฝันได้
อดิศร เสริมชัยวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวต่อ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า ตัวแปรที่ทำให้การขายหน่วย ลงทุนของบริษัทประสบความสำเร็จ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราออกมาสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ที่ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่อง สูง และให้อัตราผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ โดยลูกค้า ที่ถือหน่วยลงทุนสามารถไถ่ถอนได้ทุกวัน และอัตราผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน
สำหรับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) กองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท ณ วันที่ 29 กรกฎาคม 2548 มีมูลค่า 84,568.89 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เกตแชร์) 13..87% ซึ่งถือว่าพอร์ตกองทุนรวมสูงสุดเป็นอันดับสองของธุรกิจกองทุนรวมรองจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ที่ครองความเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจจัดการกองทุน หากไม่นับรวม กองทุนรวมวายุภักษ์ที่มีบลจ.กรุงไทย และบลจ.เอ็มเอฟซี เป็นผู้บริหาร
สำหรับพอร์ตกองทุนรวมภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ไทยพาณิชย์ ในสิ้นปี "อดิศร" ตั้งเป้าหมายว่า มูลค่าทรัพย์สินน่าจะขยับแตะระดับ 1 แสนล้านบาท ได้อย่างแน่นอน โดยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะทยอยออกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพื่อตอบสนองความต้องการนักลงทุนที่ต้องการพักเงินฝากไว้ รอสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์
นอกเหนือจากการที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินของ บลจ.ไทยพาณิชย์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว อดิศร ยังให้ความเห็นอีกว่า ทีมขายของธนาคารไทยพาณิชย์ มีความสามารถมาก เพราะทีมขายของธนาคารไม่ได้สักแต่ว่าขายหน่วยลงทุนเท่านั้น แต่จะมีการแนะนำลูกค้า เพื่อให้ทราบถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความครบถ้วน และที่สำคัญทีมขายของสาขามีความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นอย่างดี โดยยอดขาย เกือบ 100% มาจากเครือข่ายสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ
อดิศร กล่าวว่า ธนาคารไทยพาณิชย์มีการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทางการเงินของธนาคาร โดยในครึ่งปีแรกได้มีการฝึกอบรมประมาณ 50-60 ครั้ง ซึ่งถือเป็นตัวแปรที่สำคัญอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้การขายหน่วยลงทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์ ประสบความสำเร็จ โดยปัจจุบันพนักงานไทยพาณิชย์มีใบอนุญาตขายหน่วยลงทุนประมาณ 1,400-1,500 คน หรือเฉลี่ย 2 คนต่อสาขา
เมื่อถามถึงภาพรวมการดำเนินงานของบลจ.ไทยพาณิชย์ ในครึ่งปีแรกเป็นอย่างไรบ้าง "อดิศร" ให้ความเห็นว่า ภาพรวม การดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกตลาดหุ้นมีความผันผวน ทำให้กองทุนตราสารหนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยใน ช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีการออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีนโยบาย ลงทุนในตราสารหนี้เอกชนและพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งทำให้มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยในสิ้นปี 2547 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 42,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขยับเพิ่มเป็น 80,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก
สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นภายใต้การบริหารจัดการของบลจ.ไทยพาณิชย์ เขายอมรับว่า ในครึ่งปีแรกผลตอบแทนปรับตัวลดลงตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ส่วน แนวโน้มในครึ่งปีหลังบริษัทมีนโยบายปรับกลยุทธ์การลงทุนใหม่ โดยจะหันมาใช้กลยุทธ์การบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนในระดับที่สูงให้แก่นักลงทุน ซึ่งขณะนี้ผู้จัดการกองทุนอยู่ระหว่างการคัดหุ้นที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนสูง แต่ระดับราคาอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ บลจ. ไทยพาณิชย์ ยังคงให้น้ำหนักกับการออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพื่อตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าเงินฝาก ที่มองหาผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่มีความเสี่ยงในระดับต่ำ โดยบริษัทเตรียมออกกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเฉลี่ยเดือนละ 1 กองทุน มูลค่าโครงการประมาณ 3-5 พันล้านบาท ส่วนกองทุนหุ้นที่เตรียมออกอีกกองในช่วงเดือนกันยายน จะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ที่มีนโยบายลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) มูลค่าโครงการประมาณ 5 พันล้านบาท
ส่วนปัจจัยที่ทำให้ให้บลจ.ไทยพาณิชย์ เลือกตัดสินใจที่จะออกกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งมีนโยบายเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) ได้รับคำตอบจาก "อดิศร" ว่า จากการประเมินของผู้จัดการการกองทุนของบริษัทพบว่า หลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดใหม่บางตัวเป็นหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ และให้ผลตอบแทนสูง
ส่วนปัญหาเรื่องสภาพคล่องไม่น่าจะเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการขายคืนหน่วยลงทุน และที่สำคัญบริษัทเน้นลงทุนระยะยาวมากกว่า ซึ่งถือว่ามีความสอดคล้องกับนโยบายการลงทุน
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2549 ได้รับคำยืนยันจาก กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ ว่า ในปี 2549 บลจ.ไทยพาณิชย์ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจจัดการกองทุนรวม (บลจ.) ให้ได้ เนื่องจากเครือข่ายธนาคารไทยพาณิชย์ที่เป็นบริษัทแม่ ถือว่าเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
ขณะเดียวกันพนักงานขายที่มีประสิทธิภาพถือเป็นจุดขายที่สำคัญ โดยบริษัทมีนโยบายอบรมพนักงานให้มีความรู้เรื่องการวางแผนการลงทุน และมีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของกองทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีที่ผ่านมามีการฝึกอบรมให้แก่พนักงานสาขาต่างๆประมาณ 50-60 ครั้ง ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการเสนอขายหน่วยลงทุนให้แก่ลูกค้า
การประกาศรุกธุรกิจกองทุนรวมของบลจ.ไทยพาณิชย์ โดยขอเบียดขึ้นเบอร์ 1 คงไม่ไกลเกินฝัน เพราะจากการสัมผัสข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงใน ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รับการยืนยันว่า ในปีนีหน้า ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ครบรอบ 99 ปี ของการจัดตั้งธนาคาร ในวันที่ 30 มกราคม 2549 ภาพธุรกิจของธนาคารพาณิชย์จะเปลี่ยนไปจากอดีตอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของการให้บริการสาขา โดยธนาคารตั้งเป้าไว้กว่า 60-70% ของพนักงานที่อยู่ในสาขาทั่วประเทศจะต้องเป็น นักขายแบบที่ปรึกษามืออาชีพ ตรงตามคอนเซ็ปต์ของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มุ่งสู่การเป็นยูนิเวอร์แซลแบงก์ และขณะนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทในเครือพร้อมทุ่มเททรัพยากร ในการฝึกอบรมพนักงาน เพื่อให้พนักงานก้าวสู่การเป็นที่ปรึกษาทาง การเงินมืออาชีพ โดยในส่วนของพนักงานที่จะขายประกัน ก็ต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมการประกันภัย และพนักงาน ที่ขายหน่วยลงทุนก็ต้องได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เช่นเดียวกัน
อดิศร กล่าวถึงมุมมองเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า ถือเป็นช่วงจังหวะที่ลงทุนได้ยากพอสมควร เพราะสัญญาณที่ออกมามีความขัดแย้งกันใน 2 ประเด็นคือ 1.ปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูง ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น และ 2. ราคาสินค้าสูงขึ้นที่เกิดจากราคาน้ำมัน ทำให้ความ เชื่อมั่นของผู้บริโภครับตัวลดลงตาม ขณะที่ต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวลง
"ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้การตัดสินใจลำบากเช่น ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ คำถามก็จะเกิดขึ้นว่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่านี้หรือไม่ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่เริ่มหวั่นไหวกลับกลายเป็นไม่กล้าบริโภค ทำให้ต้องหาจุดที่เหมาะสม"
อดิศร กล่าวว่า เขายังมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ค่อนข้างที่จะเป็นบวก เพราะมีเงินลงทุนโดยตรงจาก ต่างประเทศในสัดส่วนสูง ยังไม่ต้องกล่าวถึงการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท โดยในปี 2547 ยอดอนุมัติส่งเสริมการลงทุนของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมูลค่ากว่า 6 แสนล้านบาท และในครึ่งปีแรกของปีนี้มีว่า 3.3 แสนล้านบาท และคาดว่าในสิ้นปีนี้จะสูงกว่า 6 แสนล้านบาท นั่นหมายความว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
"เศรษฐกิจมีโอกาสที่จะชะลอตัวลง แต่โอกาสที่จะถดถอยเป็นไปได้ยาก เพราะการจ้างงานยังดี การลงทุนยังดี ซึ่งทำให้เห็นว่าความสามารถในการแข่งขัน ถ้าถามผมไม่อยากให้ดอกเบี้ยขยับขึ้นเยอะ แต่แนวโน้มยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ค่อยเป็นค่อยไป"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|