บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์จากอดีต สู่...ปัจจุบัน

โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

บ้านของเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ สามัญชนที่ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน เมื่อ 100 ปีก่อน ได้กลายเป็นที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรตุลาการที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน

เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ชื่อเดิมว่า พุ่ม ศรีไชยันต์ ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยเมื่อครั้งยังเป็นนายพุ่มนั้นท่านมีบ้านเป็นเรือนแพ ตามวิถีชีวิตของสามัญชนทั่วไป ต่อมาเมื่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้รื้อเรือนแพสองหลังแฝดย้ายไปปลูกกุฏิถวายพระสงฆ์ไว้ ณ พระอารามวัดทองธรรมชาติ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และเตรียมไปปลูก บ้านใหม่ในที่ดินริมคลองโอ่งอ่าง

ในช่วงเวลานั้น อิทธิพลของสถาปัตยกรรมตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวไทยอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากการเสด็จประพาสประเทศใกล้เคียง และประเทศยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้นำเอาแบบอย่างของงานสถาปัตยกรรมตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับบ้านเมือง เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งนำช่างต่างประเทศมาก่อสร้างพระราชวัง จนเป็นแบบอย่างให้พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง คหบดี และราษฎรสามัญชนทั่วไปนำไปก่อสร้างวัง หรือบ้านเรือน

บ้านใหม่ของเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ จึงถูกก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เป็นงานในยุคเรอเนซองส์ของอิตาลี เป็นรูปแบบที่มีแนวทางของ Andrea Palladio และ Vignola

สถาปนิกที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลี ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 โดยใช้สถาปนิกชาวต่างชาติมาทำการออกแบบ (จากหนังสือที่ระลึกเนื่องในพิธีเปิดศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2543)

การวางตำแหน่งด้านหน้าและทางเข้าของบ้าน ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมทางน้ำ คือ คลองโอ่งอ่าง มีเรือนพักอาศัยใหญ่อยู่ 1 หลัง อยู่ด้านทิศใต้ และเรือนบริวารอยู่ทางทิศเหนือ เรือนบริวารเหล่านี้ ภายหลังถูกรื้อทิ้งและสร้างเป็นกระทรวงธรรมการ

รูปทรงของบ้านเป็นเรือนก่อ 3 ชั้น มีลักษณะเด่นคือ การแบ่งช่องประตูหน้าต่างออกเป็น 3 ช่อง มีส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง เหนือช่องประตูหน้าต่างเป็น รูปโค้งครึ่งวงกลม มีลูกกรงระเบียงโปร่ง เป็นปูนปั้น ลูกมะหวด เป็นต้น

หลังคาเป็นทรงปั้นหยา 4 ด้าน หันหลังชนกัน ชายคายื่นออกไปไม่มากนัก ความลาดเอียงของหลังคาประมาณ 45 องศา เพื่ออวดผืนกระเบื้องหลังคาซึ่งเป็นกระเบื้องว่าว หรือกระเบื้องซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่สีแดง ตัดกับ สีปูนน้ำอ้อยของผนังบ้าน ใต้ชายคาตีเกล็ดไม้สักชนชิด ซุ้มโค้งเหนือประตูหน้าต่าง ทำเป็นลายรัศมีอย่างง่ายๆ หรือลายเรขาคณิต

ภายหลังเมื่อเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ถึงแก่อสัญกรรม บ้านหลังนี้ตกอยู่ในความปกครองของกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติ ตลอดจนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ในปี พ.ศ.2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้กรมพระคลังข้างที่ขายบ้านหลังนี้แก่กระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการซื้อเพื่อไว้เป็นที่พักแขกเมืองรวมเป็นเงิน 124,758 บาท (ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุ แห่งชาติ)

ในปี พ.ศ.2452 กระทรวงธรรมการ ได้ย้ายจากพระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงละครแห่งชาติ) ไปอยู่ ณ บ้านเจ้าพระยารัตนา ธิเบศร์ และในปี พ.ศ.2463-2465 ได้ทำการรื้อเรือนบริวารด้านหลังแล้วสร้างตึกที่ทำการใหม่อีก 3 ชั้น เชื่อมต่อกับตัวบ้านหลังเดิม โดยอาคารใหม่มีความกลมกลืนกับบ้านหลังเดิมมากที่สุด

บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ทั้งที่เป็นบ้านเดิม กับอาคารที่ก่อสร้างต่อเติมได้ใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงธรรมการ จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2483 หลังจากนั้นได้ใช้เป็นที่ทำการของกรมเกษตรการประมง และสำนักงานเกษตร กรุงเทพมหานคร

ในเดือนมิถุนายน 2542 ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ และกระทรวงธรรมการอีกครั้ง ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 141 ล้านบาท เพื่อเป็นที่ทำการของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มีการซ่อมแซมส่วนหลักๆ เช่น การซ่อมแซมโครงสร้างหลังคา และเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่โดยยังคงลักษณะและสีเช่นเดียวกับของเดิม การซ่อมแซมทั้งภายในภายนอก การเปลี่ยนประตูหน้าต่างที่ชำรุด การวางสายไฟฟ้าใต้ดินและการวางระบบสุขาภิบาลใหม่หมด

แบ่งพื้นที่ในอาคารออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์เดิม ได้ปรับปรุงเป็นที่ทำงานของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้บริหารศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่ 2 อาคารกระทรวงธรรมการเดิม ได้ปรับปรุงเป็นที่ทำงานของข้าราชการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

การตกแต่งภายในอาคารทั้ง 2 หลังนี้ ยังคงยึดรูปแบบโบราณตาม สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย วัสดุที่ใช้ยังคงเป็นไม้สักเกือบทั้งหมด

ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.2543 ศาลรัฐธรรมนูญได้ย้ายเข้ามาทำงานในสถานที่ที่เป็นอาคารเก่าแก่ ที่เต็มไปด้วยความสวยงามของงานด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งได้ปรับปรุงให้มีสภาพคงเดิม และเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน และที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ยังทำให้ผู้คนได้ระลึก ถึงเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ผู้เป็นสามัญชนที่ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินไทย ผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อีกด้วย

บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2531 และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประเภท สถานที่ราชการ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2545



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.