โสภณพนิชบุกอสังหาฯออกโครงการใหญ่5พันล.


ผู้จัดการรายวัน(31 สิงหาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"ซิตีเรียลตี้" ธุรกิจอสังหาฯในเครือโสภณพนิช เล็งแผนลงทุนพัฒนา 5,000 ล้านบาท ใน 3 ปี ผุด 2 โครงการใหม่ ในปี 49 เป็นคอนโดฯย่าน RCA มูลค่า 1,400 ล้านบาท และคอนโดฯ และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ถนนวิทยุ มูลค่า 5,000 ล้านบาท ไตรมาส 3 นี้เตรียมเพิ่มทุนอีก 800 ล้าน จากเดิม 4,000 ล้านบาท ระบุไม่หวังพึ่งกองทุนอสังหาริมทรัพย์

นายชาลี โสภณพนิช ประธานกรรมการบริษัท ซิตีเรียลตี้ จำกัด ในเครือธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะลงทุน โครงการใหม่ประมาณ 2 โครงการคือ โครงการคอนโดมิเนียมย่านอาร์ซีเอ ซึ่งมีที่ดินเหลืออีกประมาณ 10 ไร่ จะพัฒนาเป็นคอนโด- มิเนียมสร้างเสร็จก่อนขาย จำนวน 3 อาคาร มูลค่า 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 อาคารๆละ 600 ล้านบาท และอีกอาคารมูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่พัฒนาเป็นคอนโดฯสร้างเสร็จ เนื่องจากโครงการ I-House Garden ย่านเดียวกันที่เปิดขายในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จึงได้นำคอนเซ็ปต์ดังกล่าวมาใช้

นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะนำที่ดินจำนวน 8 ไร่ ที่ซื้อมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ย่านถนนวิทยุมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ ขนาดพื้นที่ขาย 50,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นคอนโดฯ 25,000 ตร.ม. และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 25,000 ตร.ม. ราคาขายตร.ม.ละ 100,000 บาทขึ้นไป มูลค่าโครงการประมาณ 5,000 ล้านบาท มูลค่าลงทุน 3,000 ล้านบาท

โดยการลงทุนแต่ละโครงการนั้น บริษัทมีแผนที่จะกู้เงินและใช้ ทุนของบริษัทในสัดส่วน 50/50 อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทต้องลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มทุนอีกประมาณ 800 ล้านบาทภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ จากที่เดิมมีทุนจดทะเบียนอยู่แล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนรวม 4,800 ล้านบาท ปัจจุบันกลุ่มผู้ถือหุ้น ได้แก่ ตระกูลโสภณพนิช ถือ 40%, บริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนลแอสชัวรันส์ จำกัด (AIA) ถือ 15%, ธนาคารกรุงเทพฯ ถือ 10%, กลุ่มผู้ถือหุ้นต่างชาติ 30% และอื่นๆ อีก 5%

นายชาลี กล่าว่า บริษัทไม่มีแหล่งทุนอื่นนอกจากการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน และเงินทุนของบริษัทเอง ในขณะที่ บริษัทเองก็ไม่มีแผนที่จะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าจะมีทรัพย์ที่มีคุณภาพหลายแห่ง อาทิ เอ็มโพเรียมสวีท อาคารสาธรซิตี้ ก็ตาม เนื่องจากไม่เหมาะสมกับธุรกิจที่เราดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็ไม่มีแผนที่จะเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วง 1-2 ปีนี้ด้วย และในส่วนของ ที่ดินบริเวณโรงเรียนนานาชาติริมน้ำเจ้าพระยาซึ่ง มีเหลืออยู่ประมาณ 14 ไร่ นั้นขณะนี้ยังไม่มีแผน ที่จะพัฒนา

ปัจจุบัน โครงสร้างรายได้ของบริษัท มาจาก การขายและการเช่าอยู่ในสัดส่วน 70/30 และในอนาคตมีแผนที่จะเพิ่มเป็น 50/50 โดยในแต่ละโครงการที่จะพัฒนานั้นจะพัฒนาเป็นโครงการเพื่อขายส่วนหนึ่งและโครงการเพื่อเช่าส่วนหนึ่ง อย่างโครงการริเวอร์ไซด์ ซึ่งมีทั้งคอนโดฯและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ที่ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70%

อย่างไรก็ตาม การแบ่งสัดส่วนธุรกิจในลักษณะดังกล่าวนั้น เนื่องจากการทำเพื่อเช่านั้นจะมีกำไรมากกว่าการทำเพื่อขายถึง 70% ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขาย 1,500 ล้าน บาท และ 500 ล้านบาท เป็นรายได้จากการเช่า

"เราพัฒนาโครงการแต่ละโครงการเราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้กำไรมากมายนัก เพียงแต่ต้องเน้นคุณภาพและเน้นโลเกชัน และไม่จำเป็นต้องพัฒนาโครงการออกมามากนัก เพราะหากมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดภาวะล้นตลาดได้ อีกทั้งไม่เป็นการสร้างมูลค่าของทรัพย์สินให้แก่บริษัทด้วย นอกจากนี้ในปัจจุบันภาวะของธุรกิจ อสังหาฯ ยังสามารถเกิดไซเคิลได้เร็วมากจากเดิม ใช้เวลานานถึง 7 ปี ทำให้การพัฒนาโครงการจะต้องรอบครอบให้มากที่สุด สำหรับภาวะของตลาดอสังหาฯในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ไปจนถึง ปี 2549 โครงการที่มีคุณภาพและตั้งอยู่ในทำเลที่ดี จะยังสามารถทำการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง" นายชาลี กล่าว

ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ I - House พระราม 9 - เอกมัย เป็นคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร บนเนื้อที่ 4 ไร่ จำนวน 473 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนสินเชื่อแก่ลูกค้า รายย่อยในอัตราพิเศษจากธนาคารกรุงเทพ ในอัตรา 3.75% คงที่ 1 ปี ปีที่ 2 คิด 4.5% หลังจากนั้นลอยตัว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.