คลังโชว์เศรษฐกิจก.ค.กระเตื้อง นำเข้าลดเหลือ20%ทำดุลการค้าดีขึ้น


ผู้จัดการรายวัน(31 สิงหาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

คลัง เผยดัชนีเศรษฐกิจเดือนก.ค. กระเตื้อง ตัวเลขการส่งออกขยายตัวดีขึ้น ขณะที่การนำเข้าลดลงเหลือแค่ 20% ส่งผลให้ขาดดุลการค้าลดฮวบ ส่วนทุนสำรองฯ ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 4.84 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แม้เงินเฟ้อเดือน ก.ค.พุ่งกระฉูดถึง 5.3% หลังราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น

นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคม 2548 ว่า การจ้างงานภาคการเกษตร พบว่าการจ้างงานโดยรวมปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อันเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากบางพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง แม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่ฤดูเพาะปลูกสินค้าเกษตรหลัก โดยในเดือน กรกฎาคม การจ้างงานภาคการ เกษตรลดลง 4.8% ต่อปี ส่วนหนึ่งเนื่องจากบางพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง โดยเฉพาะการจ้างงานในภาคเกษตรกรรม ลดลง 5.3% ขณะที่การจ้างงานภาคการประมงยังคงขยายตัวดีเพิ่มขึ้น 28.9%

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวจากที่ลดลงในเดือนก่อน โดยเฉพาะภาคการผลิตเพื่อการส่งออก โดยการจ้างงานภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมกลับมาขยายตัว 5.4% จากที่ลดลง -1.3% ในเดือนก่อน โดยความต้องการแรงงานปรับตัวดีขึ้นตามการขยายการผลิตเพื่อรองรับกับการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ

ด้านการจ้างงานในภาคการก่อสร้างขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการลงทุนของภาครัฐ โดยอัตราการจ้างงานใหม่ในเดือนกรกฎาคมขยายตัว 2.3% เพิ่มขึ้นจาก -0.3% ในเดือนก่อนเป็นผลจากการขยายตัวของการลงทุนของภาครัฐ การจ้างงาน ในภาคการโรงแรมชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยการจ้างงานภาคการโรงแรมในเดือนกรกฎาคมชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียง 0.2% ต่อปี เนื่องจากเป็นช่วง Low Season ของการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างประเทศท่องเที่ยวน้อยลง

ส่วนการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน และการลงทุนภาคเอกชนทั้งการลงทุนในเครื่องมือ เครื่องจักรและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัวลง เนื่องจากความกังวลเรื่องราคาสินค้าที่แพงขึ้นและรายได้ที่อาจจะไม่เพียงพอต่อการครองชีพ โดยการจัดเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนกรกฎาคมชะลอตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่ 12.1% ลดลงจาก 18.5% ในเดือนก่อน

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน พบว่ามูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในรูปเหรียญสรอ. ที่ชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัว 20.4% ในเดือนมิถุนายน มาขยายตัวเพียง 8.7% ในเดือนกรกฎาคม โดยสินค้า เครื่องจักรกลเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัว 8.4% จากที่เคยขยายตัวถึง 17.7% ในเดือนมิถุนายน และเครื่องจักรไฟฟ้าและเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าขยายตัว 14.5%

ด้านการค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูงต่อเนื่อง โดยในเดือนกรกฎาคม มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 9,520.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 18.1% โดยสินค้าที่ยังคงมีการ ขยายตัวสูงได้แก่ สินค้าผลิตภัณฑ์ จากเหมือง สินค้าประเภทปลาและสัตว์น้ำ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์ และส่วนประกอบ และรถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 9,604.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.0% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดในปีนี้ สำหรับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและการนำเข้าที่ลดลงนี้ เป็นผลจาก การใช้นโยบายบริหารการส่งออกและนำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชะลอตัวลงของการนำเข้าน้ำมันดิบ และการนำเข้าเหล็ก

สำหรับเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อได้ปรับเพิ่ม ขึ้นจาก 3.8% ในเดือนมิถุนายนเป็น 5.3% ในเดือนกรกฎาคม โดยสินค้า หมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น 2.2% โดยเฉพาะสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และค่าโดยสารสาธารณะที่ บขส. และขสมก.ได้ปรับอัตราค่าโดยสารตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 รวมทั้งค่าโดยสารเครื่องบินก็มีราคาสูงขึ้นด้วย ส่วนราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวลดลง 0.6% สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานขยายตัว 1.9% ใกล้เคียงกับเดือนก่อน

ส่วนเสถียรภาพทางต่างประเทศยังอยู่ระดับที่น่าพอใจ โดยอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 41.8 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนมิถุนายนขาดดุล 1,535.0 ล้านเหรียญสหรัฐตามการขาดดุล การค้าที่สูง อย่างไรก็ตาม การที่ขาดดุลการค้าเดือนกรกฎาคมที่ลดลงอย่างมาก ประกอบกับคาดว่าดุลบริการน่าจะดีขึ้นจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว จะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนกรกฎาคมจะปรับตัวดีขึ้น ในขณะเดียวกันทุนสำรองระหว่างประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 48.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 5.0 เดือนของมูลค่าการนำเข้า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.