อวสานอาณาจักร Taittinger

โดย สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

แปลกแต่จริง ชนรุ่นพ่อมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบสามารถสร้างตัวจนมีหลักฐานมั่นคงด้วยวิถีทางที่ถูกต้องตามกฎหมายบ้าง ผิดกฎหมายบ้าง หากมิได้บ่มเพาะลูกหลานให้สมัครสมานหรือมิได้อบรมสั่งสอนให้ยึดมั่นในจริยธรรมและศีลธรรมแล้ว ชนรุ่นต่อไปยากที่จะเป็น "คนดี" ได้ คนดีในที่นี้หมายถึงการประพฤติตนในครรลองที่ถูกที่ควร มิได้ใช้เงินของพ่อแม่หรือบรรพบุรุษสร้างอิทธิพลข่มขู่ผู้อื่น หรือ "กร่าง" ไม่เสร็จ ทะเลาะเบาะแว้งในสถานบริการกลางคืนเพราะต่างคนต่าง "ใหญ่" ไม่มีใครยอมลงให้ใคร พ่อแม่ได้แต่ลนลานไปประกันตัวหรือวิ่งหา "ผู้ใหญ่" เพื่อมิให้เรื่องอื้อฉาว

ในสังคมที่ยึดเงินเป็นพระเจ้า พ่อแม่มัวแต่ทำธุรกิจตัวเป็นเกลียวเพื่อสะสมให้มากที่สุด ไม่มีเวลา "ขัดเกลา" ลูก ได้แต่หยิบยื่น "เงิน" และ "วัตถุ" ให้ ชนรุ่นที่สองในหลายครอบครัวจึงขาดคุณภาพ หากในอีกหลายครอบครัว ชนรุ่นที่สองรุ่นที่สามสามารถสานต่อธุรกิจของครอบครัวได้ เพราะพ่อแม่ "สั่งสอน" ดี อีกทั้งลูกต้อง "รักดี" ด้วย

แตทแตงแจร์ (Taittinger) เป็นครอบครัวใหญ่ที่สืบสานธุรกิจของครอบครัวได้อย่างมั่นคงและมั่งคั่ง แต่แล้วครอบครัวแตทแตงแจร์เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือ พิมพ์ทุกฉบับ เพราะประกาศขายกิจการทั้งหมด โดยมอบหมายให้ธนาคาร BNP Paribas และ Rothschild et cie เป็นตัวกลางพิจารณาข้อเสนอการซื้อขาย

อานน์-แคลร์ แตทแตงแจร์ (Anne-Claire Taittinger) เป็นประธานของบริษัท La Societe du Louvre ซึ่งดำเนินธุรกิจการโรงแรมโดยเฉพาะ มีทั้งโรงแรมหรูในกรุงปารีสอย่างโรงแรมครียง (Crillon) ย่านปลาซ เดอ ลา กงกอร์ด (Place de la Concorde) และโรงแรมลูเตเซีย (Lutecia) รวมทั้งโรงแรม เลอ มาร์ติเนซ (Le Martinez) ในเมืองกานส์ (Cannes) และโรงแรม ลา มามูเนีย (La Mamounia) ในเมืองมาราเกช (Marrakech) ประเทศโมร็อกโก อีกทั้งโรงแรมชั้นประหยัดเครือ Kyriad, Companile และ Premiere Classe นอกจากนั้นยังมีบริษัทคริสตัล Baccarat และบริษัทน้ำหอม Annick Coutal ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ทั้งสิ้น ครอบครัวแตทแตงแจร์ถือหุ้นใหญ่ใน La Societe du Louvre กล่าวคือ 44.1 เปอร์เซ็นต์ รองมาคืออัลแบรต์ แฟรร์ (Albert Frere) นักธุรกิจชาวเบลเยียม 15.3 เปอร์เซ็นต์

ย้อนกลับไปในปี 1997 La Societe du Louvre เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ แม้ครอบครัวแตทแตงแจร์จะถือหุ้นใหญ่ แต่นักธุรกิจชาวอเมริกันสองคนคือ กาย ไวเซอร์-แพรท (Guy Weiser-Pratt) และแอชเชอร์ เอเดลแมน (Asher Edelman) ไล่ซื้อหุ้นและรวมตัวกันกดดันผู้บริหารให้ปรับปรุงบริษัท สามปีต่อมา อานน์-แคลร์ แตทแตงแจร์ ซึ่งเป็นประธานบริษัทตั้งแต่ปี 1997 ได้รับการสนับสนุนจากอัลแบรต์ แฟรร์ ซึ่งเข้าซื้อหุ้นของนักธุรกิจอเมริกัน สองคนนี้โดยมีข้อตกลงกับครอบครัวแตทแตงแจร์ว่า จะเก็บหุ้นเหล่านี้ไว้จนถึงปี 2006 ทว่าเป็นที่รู้กันว่าทันทีที่ครบกำหนดสัญญาในเดือนมิถุนายน 2006 อัลแบรต์ แฟรร์จะถอนตัวและขายหุ้นที่ตนถืออยู่ ถือโอกาสที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว ประกอบกับมีความขัดแย้งกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมานี้

ปัญหาคือครอบครัวแตทแตงแจร์ไม่มีเงินซื้อหุ้นทั้งหมดของอัลแบรต์ แฟรร์ แม้ว่าภายใต้การบริหารของอานน์-แคลร์ แตทแตงแจร์ La Societe du Louvre จะมีผลประกอบการดีขึ้นถึง 9.7 เปอร์เซ็นต์ มีกำไรกว่าเท่าตัวคือ 66.5 ล้านยูโรด้วยกัน

อันที่จริง ครอบครัวแตทแตงแจร์ไม่ได้จะขายแต่กิจการของ La Societe du Louvre เท่านั้น หากรวมไปถึงกิจการแชมเปญอันเลื่องชื่อของครอบครัวด้วย

การตัดสินใจขายกิจการทั้งมวลมาจากความไม่ลงรอยระหว่างทายาทรุ่นที่สามจำนวน 38 คน ส่วนหนึ่งทำงาน ส่วนหนึ่งไม่ได้ทำ ส่วนหนึ่งเป็นผู้ถือหุ้นธรรมดาๆ ทั้งหมดอยู่ในวัยระหว่าง 50-65 ปี หลายคนอยากวางมือจากธุรกิจ หลายคนอยากหยิบจับเงินทองได้ กฎของครอบครัวบ่งว่าหากจะขายกิจการ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสองในสาม และแล้วครอบครัวแตทแตงแจร์สามารถบรรลุข้อตกลงเมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ให้ขายกิจการทั้งหมด แม้จะมีบางส่วนอันมีอานน์-แคลร์ แตทแตงแจร์ อยากเก็บกิจการแชมเปญไว้ก็ตาม

ในวันที่ 22 กรกฎาคม สมาชิกครอบครัวแตทแตงแจร์ได้ข้อสรุป ขายกิจการทั้งหมดแก่กองทุนอเมริกันชื่อ Starwood Capital ซึ่งทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้ริเริ่มกลุ่ม Stawood Hotels and Resorts Worldwide Inc. มีกิจการ โรงแรมทั่วโลก รวมทั้งเครือ Sheraton และ Westin หลังซื้อกิจการของครอบครัวแตทแตงแจร์ Starwood Capital จะมีโรงแรมหรูและโรงแรมชั้นประหยัดในครอบครองเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้กล่าวคือในเดือนเมษายน 2005 Starwood Capital ได้ซื้อโรงแรมเครือ Meridien ของอังกฤษไว้แล้ว

Starwood Capital คงไม่คิดจะเก็บกิจการแชมเปญไว้ ทั้งนี้จะปรึกษาหารือกับครอบครัวแตทแตงแจร์ก่อนตัดสินใจขายแก่ผู้ใด ระหว่างนี้ให้โคล้ด (Claude) และปิแอร์-เอมมานูเอล แตทแตงแจร์ (Pierre-Emmanuel Taittinger) บริหารกิจการแชมเปญไปพลางๆ อย่างไรก็ตาม อานน์-แคลร์ แตทแตงแจร์ ประกาศว่าจะพยายามทุกวิถีทางที่จะให้แชมเปญยังคงเป็นธุรกิจของครอบครัวและประเทศฝรั่งเศส

ครอบครัวแตทแตงแจร์นั้นอยู่ในวงการการเมืองและธุรกิจ บรรพบุรุษคือปิแอร์-อเล็กซองดร์ แตทแตงแจร์ (Pierre-Alexandre Taittinger) เป็นวิศวกรเยอรมันในจังหวัดลอแรน (Lorraine) ได้เลือก สัญชาติเป็นฝรั่งเศส ลูกชายคือปิแอร์ (Pierre) ร่วมกับหน่วยใต้ดินในการปลดปล่อยกรุงปารีส หลังสงคราม ปิแอร์ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงปารีส

อาณาจักรแตทแตงแจร์เติบใหญ่จากการแต่งงานกับสาวจากครอบครัวนักธุรกิจที่มั่งคั่ง ในปี 1932 ปิแอร์ซื้อปราสาท La Marquetterie ในเมืองแรงส์ (Reims) รวมทั้งไร่องุ่น ใช้เป็นแหล่งผลิตแชมเปญ โดยใช้องุ่นพันธุ์ชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay) ในปี 1977 เมื่อฌอง แตทแตงแจร์ (Jean Taittinger) เป็นประธาน La Societe du Louvre และได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลปิแอร์ เมสแมร์ (Pierre Mesmer) จึงมีการแบ่งธุรกิจกัน โคล้ด (Claude) บริหารกิจการแชมเปญ ส่วน ฌองดูแล La Societe du Louvre ต่อไป

ปลายเดือนมีนาคม 2005 โคล้ด แตทแตงแจร์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของเมืองแรงส์ และกล่าวเป็นนัยว่าอาจไม่ได้บริหารกิจการแชมเปญแตทแตงแจร์ (Champagne Taittinger) หลังเดือนมิถุนายน 2006 และไม่สามารถบอกได้ว่าจะมีทายาทแตทแตงแจร์คนไหนที่จะได้บริหารกิจการแชมเปญใน 20 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ครอบครัวแตทแตงแจร์เกิดมาก่อนแชมเปญ และคงจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้จะไม่มีแชมเปญแล้วก็ตาม


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.