รุกดึงจีนเข้าตลาดหุ้นชินคอร์ปลุ้นขายไอพีสตาร์


ผู้จัดการรายวัน(26 สิงหาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

"สมคิด" คุยไทยเป็นชาติแรกเข้าโรดโชว์เมืองจีน หวังดึงลงทุนตรงก่อนเข้าสู่ตลาดหุ้น ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าการค้าไทย-จีนจาก 1.5 เป็น 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐภายใน 2 ปีข้างหน้า "ทนง" ขอฉายภาพศูนย์กลาง การลงทุนในอาเซียนของไทยให้จีนเข้าใจ ระบุจีนสนใจลงทุนหัวรถจักรและระบบรางของ ร.ฟ.ท. ด้านเอกชนที่ร่วมโรดโชว์มั่นใจดึงจีนลงทุนตรงสำเร็จ "บุญคลี" รอผลขายไอพีสตาร์ เผยจีนสนใจธุรกิจพลังงาน อสังหาฯ และสื่อสาร ค่ายปูนใหญ่รุกกลับลงทุนในจีนเพิ่ม ด้านปิโตรเคมี และเยื่อกระดาษ

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวเปิดงาน 30th Anniversary Sino-Thai Relations Roadshow ที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่กรุงปักกิ่ง วานนี้ (25 ส.ค.) โดยตลาดหลักทรัพย์ได้เชิญสถาบันการลงทุนและวิสาหกิจชั้นนำของจีนที่มีพอร์ตการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมรับฟังข้อมูล 40 แห่ง

"ตลาดทุนของไทยยังมีโอกาสในการลงทุน แต่เนื่องจากทางจีนยังไม่คุ้นเพราะเรายังใหม่ใน สายตาเขา ทำให้เขายังไม่แน่ใจ คุณกิตติรัตน์ (นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการตลาด หลักทรัพย์ฯ) จึงได้มาหารือว่าน่าจะจัดโรดโชว์ ซึ่งจะถือว่าเป็นครั้งแรกที่ต่างประเทศเข้าไปจัดโรดโชว์ในจีน ไม่เคยมีใครบุกมาก่อน" นายสมคิดกล่าว

นายสมคิด กล่าวว่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาไทยกับจีนมีความสัมพันธ์อันดีกันมาโดยตลอดมูลค่าการ ค้าระหว่างไทย-จีน ปัจจุบันมีถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4 หมื่นล้าน ดอลาร์สหรัฐในอีก 2 ปีข้างหน้า

ขณะเดียวกันการที่จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่สูงขึ้น และรัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ที่ผ่านมามีบริษัทในจีนไปลงทุนในไทย 200-300 แห่ง ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรง โดยปีที่ผ่านมาการลงทุนของจีนในไทยเติบโต 30-40% ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 40%

สำหรับยุทธศาสตร์ของไทยในจีนนั้น ไทยจะรุก ทีละมณฑลทางด้านการค้าการลงทุนและท่องเที่ยว แต่เวลานี้การลงทุนจะนำไปสู่การลงทุนในตลาด หลักทรัพย์ เป็นการทำก่อนคนอื่นจะเชิญบรรดาเจ้าของกิจการในจีนที่เป็นคนรุ่นใหม่Young President Organization หรือ YPO ของจีนไปไทยแล้ว ให้ YPO ของไทยมาประกบ ซึ่งจะทำให้สองฝ่ายเกิด ความสัมพันธ์และนำไปสู่การลงทุนร่วมกันระหว่างไทยกับจีน โดยมีฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ

"กลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนรวยรุ่นใหม่ที่ต้องพาเขาไปให้รู้จักเมืองไทย เราจะจัดเหมือนไทยแลนด์ โฟกัส ให้เขาได้พบนายรัฐมนตรี ได้เดินทางไปดูอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคต่างๆ ของไทย และท่องเที่ยว เพื่อจะกวาดคนเหล่านี้ไปเมืองไทยก่อน โดยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนต่อคน แต่เราไม่หวังว่าภายใน 1-2 ปีนี้จะสำเร็จ แต่ถือว่าได้เริ่มต้นก่อนใคร"

นายทนง พิทยะ รมว.คลัง กล่าวว่า ประเทศจีนเวลานี้ไม่เหมือน 10 ปีที่แล้ว เวลานี้เริ่มมีเครื่องมือการลงทุนระดับสากลมากขึ้น และมีความพร้อมที่ไปลงทุนในประเทศต่างๆ การมีทุนสำรองฯ ถึง 7.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบสูงสุดในโลก ซึ่งหากนับรวมทุนสำรองฯ ในฮ่องกง ก็อาจจะมากที่สุด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลจีน เปิดโอกาสให้นักลงทุนออกไปลงทุนในต่างประเทศ การเก็บทุนสำรองไว้และได้ผลประโยชน์ต่ำ จะป็นปัญหาต่อเศรษฐกิจจีนมาก เพราะฉะนั้นนโยบายเศรษฐกิจของจีนจึงเปลี่ยนไป

คำถามคือถ้าจีนมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่น้อย เข้ามาไม่สำเร็จช่องว่างอยู่ที่ไหน ถ้ามอง 2 ด้าน ด้านแรกถ้าดูการลงทุนของจีนเขาไปลงทุนในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ทั้งในรูปซอฟต์โลน สร้างสาธารณูปโภค มากกว่าไทย

อีกด้านไทยยังมีช่องให้จีนมาลงทุน ที่สำคัญจีนต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางเข้าสู่อาเซียนจีนประกาศเรื่องนี้ชัดเจน โดยผ่านช่องทางยูนนาน จีนมีการสร้างถนนรถไฟเชื่อมมานานแล้ว แต่ทางการไทยกลับไม่พร้อมในส่วนนี้

นายทนงกล่าวว่า จีนมีความประสงค์จะลงทุนในไทยมาก แต่หลายรายไม่สำเร็จ เช่น การปลูกไม้ยูคาลิปตัส หรือการซื้อโรงกลั่นไทยออยล์ แต่ไทยก็ยังมีโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งถ้าได้จีนมาเป็นคู่แข่ง กับประเทศอื่นเชื่อว่าด้วยศักยภาพทางการเงิน การลงทุน ไทยอาจจะได้ของดีราคาถูกจากจีน

การมาครั้งนี้จะทำความเข้าใจกับจีนเกี่ยวกับนโยบายการเปิดเสรีทางการเงินและความสัมพันธ์ทางการเมือง จะพยายามทำให้จีนเข้าใจว่า ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน ซึ่งจีนก็รู้แต่การลงทุนในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย จีนต้องแข่งขันกับยุโรปและญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม มีหลายโครงการที่จีนต้องการ แต่ญี่ปุ่นกับยุโรปสนใจน้อย เช่น โครงการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่จีนทำได้ถูกกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นหัวรถจักรหรือระบบราง และจีนก็มีศักยภาพที่จะจัดหาเงินกู้ได้เหมือนกับญี่ปุ่น และยุโรปบางประเทศเช่นเดียวกัน

ส่วนเรื่องตลาดทุนต้องดูว่าทำอย่างไรที่จะให้จีนเข้าไปง่ายขึ้น เพราะต้องเข้าใจวิธีคิด วิธีลงทุนของ จีน ยกตัวอย่าง ถ้าในจีนมีคนรวย 1% ของประชากรก็ 50 ล้านคน แต่ละคนมี 1 ล้านเหรียญสหรัฐก็ถือว่ามีศักยภาพมหาศาล เวลานี้จีนจะไปลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปมาก อาเซียนก็มาก

"ไทยยังไม่ปรับตัว ยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้เกี่ยว กับจีน ที่มีวิธีคิดแตกต่างจากตะวันตกแต่ใกล้ไทย แต่ไทยกลับมองว่าไม่ใช่ กลายเป็นว่าเราไม่ปรับตัวการเป็นอาเซียนฮับก็ยาก ถ้าไม่ปรับตัวเราจะพลาดโอกาส"

นายทนงเปิดเผยว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจีนมี 5 กลุ่ม ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมี พลังงาน และอาหาร

ส่วนนายกิตติรัตน์กล่าวว่า ไม่ได้คาดหวังไว้สูง ว่าการมาโรดโชว์ครั้งนี้จะสามารถจูงใจให้นักลงทุนจีน ต้องไปลงทุนในตลาดหุ้นไทยทันที เนื่องจากต้องให้ระยะเวลาแก่นักลงทุนในการทำความรู้จักกับตลาดหุ้นไทยก่อน

"เราไม่หวังว่าเขามาแล้วจะต้องซื้อกิจการ หรือ ซื้อหุ้นใหญ่ในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่หากจะมาลงทุน ซื้อในบริษัทขนาดใหญ่ชิมลางก่อน และปล่อยให้ฝ่าย ไทยบริหารไปก็น่าจะดีในระยะเริ่มแรก" นายกิตติรัตน์กล่าว

เอกชนชี้เปิดประตูลงทุนตรง

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่มีอิทธิพลมากในภูมิภาคเอเชีย การพัฒนาเขตการค้าเสรีระหว่างประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้เช่นกัน จึงอยากขอให้นักลงทุนทุกคนศึกษาสภาพการลงทุนของไทยก่อนดูว่าจะมีความเหมาะสมกับการลงทุนหรือไม่ แต่หากดูการส่งออกและนำเข้าของไทย จัดอยู่ในลำดับที่ 15 ของโลก เพราะฉะนั้น ประเทศไทย จัดได้ว่าเป็นประตูที่เปิดตลาดอาเซียน

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. กล่าวว่า ยังไม่สามารถประเมินได้ว่านักลงทุนจีนจะให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือไม่ แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ หากมีการลงทุนโดยตรงเข้ามาก่อนการลงทุนในตลาดหุ้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา ชินฯรอผลขายไอพีสตาร์

นายบุญคลี ปลั่งศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชื่อว่า การเดินทางมาโรดโชว์ครั้งนี้ของไทยเป็นกรุ๊ปแรกๆ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี และถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่อง จากค่าเงินหยวนแข็งขึ้น และจีนมีศักยภาพพอที่จะไป ลงทุนในนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับการ โรดโชว์ในยุโรปก็อาจจะแตกต่างกันเพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับที่นี่จึงทำให้บรรยากาศไม่คึกคักเหมือนในยุโรป

ทั้งนี้มองว่า การลงทุนโดยตรง(เอฟดีไอ) น่าจะเกิดก่อนการลงทุนในตลาดรอง แต่ในระยะยาวสถานการณ์ต่างๆ เช่นการเปิดการค้าเสรี จะเป็นตัวสนับสนุนให้จีนนำเงินไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

"โครงสร้างตลาดทุนไทยเราใกล้มาตรฐานโลกแล้วแต่ต้องให้เวลาให้นักธุรกิจต้องทำความรู้จักก่อน เป็นโอกาสของภาคเอกชนได้มานำเสนอข้อมูล สำหรับชินคอร์ปก็จะใช้ตรงนี้เจาะโอกาสในจีนต่อไป เราไม่ได้คาดหวังอะไรในวันนี้ แต่เราทำธุรกิจกับเขาอยู่แล้ว และเรามีไอพีสตาร์ วันนี้เราก็มาตอกย้ำธุรกิจของเรา ให้ความเชื่อมั่นกับเขา ซึ่งปกติผมต้องเดินทางมา จีนปีละ 2 ครั้ง บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน) มีสาขาอยู่ที่จีน 2 แห่ง"

นายบุญคลี กล่าวว่า ขณะนี้ในส่วนของการขาย บริการสัญญาณดาวเทียมไอพีสตาร์ให้กับจีนอยู่ระหว่างการเจรจา เนื่องจากยังต้องรอการตัดสินใจใน เรื่องดาวเทียมของจีน ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อใด

นายบุญคลี กล่าวต่อว่า การจัดโรดโชว์ของตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้จึงเป็นเหมือนการแนะนำตัว หรือบริษัทเอกชนให้คนจีนได้รู้จักมากขึ้น ทั้งนี้หากวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจประเทศจีนมีศักยภาพ ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าจะนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ที่ไหนเท่านั้น

ทั้งนี้โดยส่วนตัวคาดว่า หากจีนมีการลงทุนโดยตรงในไทยแล้วจากนั้นตลาดรองน่าจะได้รับความ สนใจตามมา โดยกลุ่มธุรกิจที่จีนให้ความสนใจคือ พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร

ขณะที่นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า นอกจาก การมานำเสนอข้อมูลให้กับนักลงุทนจีนได้รับทราบถึง รายละเอียดและเป้าหมายของบริษัทปูนซิเมนต์ไทยแล้ว บริษัทยังจะพิจารณาการเข้ามาลงทุนในจีนอีกครั้ง หลังจากที่ถอนลงทุนไปเมื่อตอนวิกฤตเศรษฐกิจ ปี 2540

ทั้งนี้ธุรกิจที่ปูนซิเมนต์ไทยให้ความสนใจ คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ ที่ยังมีความต้องการสูง ส่วนปูนซีเมนต์นั้นต้องยอม รับว่าภายในจีนมีโรงงานจำนวนมากอยู่แล้วหลายพันโรง ไทยเร่งจีนทำแผนปฏิบัติการความร่วมมือ

วานนี้ (25 ส.ค.) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ ระหว่างการ ติดตามนายกันตธีร์ ศุภมงคล รมว.ต่างประเทศ เดิน ทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าในเวลา 16.00 น วานนี้ ซึ่งคณะได้เดินทางถึงกรุงปักกิ่งเป็นวันแรก นายกันตธีร์ ได้เข้าพบนายเวิยเจียเป่า นายก-รัฐมนตรีของจีน และได้หารือกันในประเด็นต่างๆ

ในการหารือทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องที่จะรีบเร่งจัดทำ แผนปฏิบัติการว่าด้วยความสัมพันธ์หุ้นส่วนระหว่างไทยและจีน ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศเป็นความสัมพันธ์แบบหุ้นส่วน จึงควรกำหนดความร่วมมือระหว่างกันให้เป็นรูปธรรม ซึ่งใน ขณะนี้ ฝ่ายไทยได้จัดทำร่างและเตรียมที่จะเสนอให้ฝ่ายจีนพิจารณา โดยมีเนื้อหาครอบคลุมความร่วมมือ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม เป็นต้น โดยมีระยะเวลา 5 ปี และจะทบทวนความคืบหน้ากันทุก 1 ปี

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีน เป็นปัจจัยเกื้อกูลความสัมพันธ์ระหว่างจีนและประเทศในกลุ่มอาเซียนโดยรวม ทั้งในกรอบอาเซียน+3 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS) ที่จะจัดให้มีขึ้นครั้งแรกในเดือนธันวาคมนี้ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งนอกจากจะมีผู้นำ จากประเทศในกลุ่มอาเซียนร่วมประชุมแล้ว ยังมีผู้นำจาก จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้าร่วมการประชุมด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.