|
"ลลิลฯ"ยึดแผนลงทุนดอกเบี้ยต่ำ
ผู้จัดการรายสัปดาห์(5 สิงหาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
"ลลิลฯ"คงนโยบายลงทุนผ่านการออกตั๋วบี/อี ลดต้นทุนแทนกู้เงินจากแบงก์ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น เล็งปรับราคาบ้านต้นทุนใหม่ในไตรมาส4 ตั้งเป้าโกยยอดขายปลายปีโต 15-20% ในขณะที่ตลาดรวมโต 10-15%
ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาวัสดุก่อสร้างและปัญหาค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบให้ต้นทุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปรับเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการเลือกรูปแบบการระดมทุนผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำที่สุดจึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ผู้ประกอบการนำมาใช้ในการบริหารต้นทุน เช่น การออกหุ้นกู้ หรือการออกตั๋วเงินระยะสั้น(บี/อี) ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์
ปัจจุบันช่องทางการระดมทุนมีแนวทางให้เลือกลงทุนอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่สามารถเลือกแนวทางการระดมทุนได้หลายแนวทาง และมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าการกู้เงินจากสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีข้อจำกัดด้านการเลือกแนวทางระดมทุน
ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า การปรับโครงการสร้างด้านการเงินโดยเน้นแนวทางการระดมทุนผ่านการออกตั๋วเงินระยะสั้น หรือ บี/อี เป็นนโยบายหลักที่บริษัทนำมาใช้บริหารต้นทุนด้านการเงินแทนการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า โดยที่ผ่านมาได้ออกตั๋วบี/อี ไปแล้วคิดเป็นวงเงินรวม 350-400 ล้านบาท และยังมีความสามารถในการออกตั๋ว บี/อี ได้อีกถึง 800 ล้านบาท เพราะยังมีช่องว่างในการระดมทุนเนื่องจากมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนในอัตรา 0.4:1 เท่านั้น แต่บริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนการออกตั๋วบี/อีไว้ที่ระดับ 400 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้บริษัทยังใช้แนวทางการลดต้นทุนด้วยการล็อคราคาวัสดุก่อสร้างนานถึงสิ้นปี 48 ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันบริษัทยังมีสต็อคบ้านคงค้างในมืออีก 500-600 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านต้นทุนเดิม และสามารถทำตลาดได้ในระยะเวลา 2-3 เดือน ทำให้บริษัทสามารถคงราคาขายบ้านในอัตราเดิมได้จนถึงไตรมาส 3 หลังจากนั้นจะพิจารณาปรับราคาขายบ้านใหม่ในช่วงไตรมาส4 เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5-10%
ไชยยันต์ กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถตั้งราคาขายบ้านได้ต่ำกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้ยอดขายและกำไรในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัว 15-20% สูงกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโต 10-15% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเติบโตในตลาดระดับล่าง ในขณะที่ตลาดระดับกลางอยู่ช่วงการปรับตัวเข้าสู่ภาวะสมดุล โดยคาดว่าคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ระดับกลางถึงล่างจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|