|
ธนชาตตั้งเป้าNAVขยับ1.2หมื่นล้านขยับปีกออก"กองทุนหุ้น-ตราสารหนี้"
ผู้จัดการรายวัน(23 สิงหาคม 2548)
กลับสู่หน้าหลัก
บลจ.ธนชาตประกาศกร้าวรุกธุรกิจกองทุนเต็มสูบ เผยครึ่งปีแรกสามารถดึงเม็ดเงินได้กว่า 6 พันล้านบาท จากการเปิดตัวกองทุนตราสารหนี้ คาดภายในสิ้นปี NAV ขยับเพิ่ม 1-1.2 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าออกกองทุนตราสารหนี้ที่เข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทุกเดือน พร้อมเปิดตัวกองทุนหุ้น 2 กอง หวังช้อนหุ้นราคาถูกเข้าพอร์ต
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายการตลาดกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผย ถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวกองทุน ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินคลังทุกเดือนและออกกองทุนหุ้นจำนวน 2 กองทุน โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ภายใต้การบริหารจัดการจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท
"กองทุนรวมตลาดเงินที่เราเตรียมเปิดตัวในครึ่งปีหลังถือเป็นการตอบโจทย์ที่ถูกต้อง และเป็นจังหวะที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และความไม่มั่นใจในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งกระแสต้องรับนักลงทุนมีเข้ามาเป็นจำนวนมาก และทิศทางในครึ่งปีหลังกองทุนประเภทนี้ จะมีลูกเล่นที่ตอบสนองความต้องการ นักลงทุนได้ตรงจุด" นายกำพลกล่าว
สำหรับกองทุนหุ้นที่จะออกในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะมีจำนวน 2 กองทุน โดยกองแรกที่เตรียมเปิดตัวจะเป็นกองทุนปิด และกองที่ 2 จะเป็นกองเปิด ส่วนสาเหตุที่ทำให้บริษัท เลือกออกกองทุนหุ้นในช่วงปลายปี จากที่ก่อนหน้าบุกตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มดัชนีในช่วงสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 700-720 จุด
การที่ตัดสินใจเปิดกองทุนหุ้นในช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำจะส่งผลดีกับนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน ซึ่งทำให้บริษัทสามารถเลือกหุ้นที่มีปัจจัย พื้นฐานดี และราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเข้าพอร์ต ซึ่งลูกค้าที่เป็นนักลงทุน ในระยะยาวจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในกองปิด
นายกำพลกล่าวว่า นโยบายการ ลงทุนในกองทุนหุ้นที่เตรียมเปิดตัวทั้ง 2 กองทุน มีนโยบายการลงทุนในเชิงรุก โดยจากการประเมินของผู้จัดการกองทุนของบริษัทพบว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมามีเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติประมาณ 1-1.2 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้แนวโน้มในระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มเทขายหุ้นบางส่วนออกมาเพื่อทำกำไร จังหวะการออกกองทุน ในช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นจังหวะเหมาะ ในการช้อนซื้อหุ้นในราคาถูก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยจำเป็นต้องระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้
สำหรับเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาค เอเชียในครึ่งปีแรกมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท โดยให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศจีน,อินเดีย,ไต้หวัน และเกาหลีใต้ และมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท
นายกำพลกล่าวอีกว่า ในส่วนของกองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (FIF) บริษัทได้ยื่นขอจัดตั้งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 2 กองทุน มูลค่ากองทุนละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกองทุนที่จัดตั้งจะไม่ใช่การออกกองทุนใหม่ แต่จะเป็น การเสนอแก้ไขโครงการ เพื่อนำเงินไป ลงทุนได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการจัดตั้ง กองทุนใหม่ ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ ก.ล.ต.อนุมัติจะสามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้ทันที
สำหรับสาเหตุที่ทำให้บริษัทเลือกลงทุนในตลาดตราสารหนี้หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจาก แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ ประเทศในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้ม ขยายตัวสูงกว่าในภูมิภาคอื่น ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนจากตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดอื่นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้บริษัทยังมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำให้แนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุน FIF จะให้ผลตอบแทนในระดับน่าสนใจสำหรับนักลงทุน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|