"AIS" เปิดบริการ "C-Care" ทุ่ม2,800ล้านสนองลูกค้า


ผู้จัดการรายวัน(9 กันยายน 2545)



กลับสู่หน้าหลัก

เอไอเอสทุ่มเม็ดเงินกว่า2,800 ล้านบาทรุกให้บริการอีกขั้น เปิดใช้บริการC-Care ดีเดย์เปิดบริการ 7 ก.ย.นี้เพื่อสนองความต้องการลูกค้าที่ใช้บริการให้มีความเหมาะสมกับกลุ่มและบุคคล และเลือก รับบริการที่หลากหลายตรงต่อความต้องการ

นางอาภัทรา ศฤงคารินกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานสนับสนุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด หรือเอไอเอส เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการ C-Care ซึ่งเป็น โครงการที่เอไอเอสจัดทำขึ้น โดยใช้เวลาพัฒนารวม 18 เดือน มีมูลค่าลงการลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งประ กอบด้วย Software, Hardware, Maintenance และ System Integration ทั้งนี้เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการลูกค้าของเอไอเอส เพื่อให้เข้าสู่ การทำงานแบบมาตรฐานสากล (World Class) ซึ่งมุ่งเน้นการปรับปรุงในด้านขบวนการ ,เทคโนโลยี และความรู้ความสามารถของบุคลากร ซึ่งโครงการแรกนี้จะเปิดให้บริการในวันที่ 7 ก.ย.นี้ ส่วนระยะที่ 2 จะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2546 และ กรกฎา-คม 2546

"ในวันที่ 7 ก.ย.นี้ทางบริษัทจะสามารถออกใบแจ้งหนี้ระหว่างรอบได้ รวมถึงการหักโปรโมตชั่นระหว่างวันได้ทันที ซึ่งถ้าองค์กรใดมีปัญหาในเรื่องการชำระเงิน ก็สามารถผ่อนชำระ หรือกระจายการชำระหนี้ได้ ทำให้องค์ การเกิดความคล่องตัวและมีทางออกมากขึ้น ซึ่งสามารถเลือกรอบการชำระเงินได้ ตรงตามความต้องการ"

สำหรับด้านขบวนการนั้น เอไอเอส ได้มีการปรับปรุงและน้ำหลักการ Best Practice ด้านโทรคมนาคมทั่วโลกเข้ามาใช้ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกและบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเอไอเอสนั้นสามารถวัดผลการทำงานได้ทุกจุด ซึ่งส่งผลให้ สามารถปรับปรุงพัฒนางานด้านขบวนการได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนด้านเทคโนโลยีนั้นมีการ นำแบบอย่างของบริการและโครงสร้าง พื้นฐานที่เป็นมาตรฐานเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการด้าน Billing, CRM, Dealer mangement และ Mediation Device Operation (ในชุมสายโทรศัทพ์เคลื่อนที่)

นอกจากนี้ มีการพัฒนาด้านบุคลากร เป็นการมุ่งเน้นพัฒนาบุคลา-กรให้มีความสามารถตามลักษณะงานอีกด้วย

สำหรับวัตถุประสงค์ของโครง การนี้ เพื่อเน้นให้ลูกค้าได้รับบริการที่เหมาะสมตามรูปแบบของแต่ละบุคคล หรือแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกรับบริการหรือรายการส่งเสริมการขายที่หลากหลาย และตรงต่อความต้องการมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่สะดวกและรวดเร็วเหนือกว่ามาตรฐานที่กำหนด

นางอาภัทรา กล่าวว่าระบบงาน Billingที่เอไอเอสนำมาใช้นั้นเป็นSoftwareชื่อ Geneva จากประเทศอังกฤษ ที่มีความสามารถในการทำReal Time Call Pricing และ Software ดังกล่าวยังมีความยืดหยุ่นในการสร้างรายการส่งเสริมการขายทำ ให้ลูกค้าได้รับ Prometion Packageที่หลากหลายและเหมาะสมกับลักษณะการใช้งานมากที่สุด ซึ่งสามารถเพิ่มความสะดวกในการทำ Next Generation Billing ด้าน Non Voice Application ได้อีกด้วย

ส่วนระบบงาน CRM (Custo-mer Relationship Management) , DRM (Dealer Relationship Ma-nagement), Sales and Marketing ซึ่งเอไอเอสใช้ Software ชื่อ Siebel จากประเทศสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถเข้าใจและเข้าถึงความต้องการ ของลูกค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มความสามารถในการสร้างความสัพพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและคู่ค้า

ระบบMD(Mediation Device) เอไอเอสใช้ Softwareชื่อ Comptel จากประเทศฟินแลนด์ ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกในการเก็บข้อมูล CDR (Call Detail Record) จากชุมสายได้มากขึ้น พร้อมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขยายการเก็บข้อมูลด้าน Data Servicesเข้าสู่ระบบอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีด้าน SI (System Integrator) ซึ่งเอไอเอสได้นำมาตรฐานด้าน Telecom Best Practice จากบริษัท Accenture มาแนะ นำและปรับปรุงงานด้านต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องและให้เหมาะสมกับการให้บริการในประเทศไทยมากที่สุด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.