สินค้าหนึ่งๆ ถ้ามีจุดขายทีเด่นชัดแตกต่างไปจากสินค้าประเภทเดียวกันรายอื่นๆ
ผู้บริโภคย่อมเห็นความแตกต่าง เมื่อลองใช้แล้วสินค้านั้นคุณภาพดี สิ่งที่ตามมาก็คือยอดขายและภาพพจน์ที่ดี
อัสสัมชัญก็เช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จุดขายในทุกๆ รอยต่อแห่งการขยายสถาบันการศึกษาออกไปอยู่ที่
"ภาษาอังกฤษ" จากแรกเริ่มโรงเรียนอัสสัมชัญที่สอนด้วยภาษาอังกฤษ
ขยายการศึกษาออกมาในระดับพาณิชยการก็เปิดโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ด้วยการสอน
COMMERCE เป็นภาษาอังกฤษและในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจก็เปิดสอนบริหารธุรกิจระดับปริญญาตรีด้วยภาษาอังกฤษ
ใครๆ ก็รู้สึกได้ว่าอัสสัมชัญต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นที่ "ภาษาอังกฤษ"
เมื่อศึกษาจากประวัติอัสสัมชัญแล้วเมื่อแรกนั้น อัสสัมชัญอาจไม่ต้องการให้ภาษาอังกฤษเป็นจุดเด่นของสถาบันก็ได้
แต่เพราะมีสถานการณ์หลายอย่างบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น เพราะบาทหลวงกอลมเบต์
และภราดาคณะเซนต์คาเบรียลที่เข้ามาดำเนินการตอนนั้น เป็นนักบวชและเป็นชาวต่างประเทศ
ข้อจำกัดด้านนี้ทำให้ต้องเน้นภาษาต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประเทศสยามรวมกำลังเปิดประเทศ
มีการติดต่อซื้อขายกับชาวต่างประเทศมากขึ้น บุคลากรที่ตลาดต้องการส่วนใหญ่ต้องมีพื้นความรู้ทางด้านภาษา
ที่จะสามารถทำงานหรือติดต่อกับชาวต่างประเทศได้
"นักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญรุ่นแรกๆบางคนยังไม่จบก็มีบริษัทห้างร้านต่างๆ
มาจองตัวไปทำงานแล้ว บางทีไปเป็นล่ามก็มี" มาสเตอร์เก่าแก่ของโรงเรียนคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
ภาษาอังกฤษเป็นหน้าตาของโรงเรียนอัสสัมชัญมาแต่ไหนแต่ไร เพราะการสอนเน้นให้นักเรียนใช้ภาษาอังกฤษทั้งในและนอกเวลาเรียน
หากใครฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีการต่างๆ นักเรียนอัสสัมชัญในโดยเฉพาะในสมัยแรกๆ
จึงมีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
ครั้นเมื่อแยกโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ออกมา ด้วยแนวความคิดที่จะให้เป็นโรงเรียนการพาณิชย์ที่ผลิตบุคลากรออกมาให้
PRACTICAL มากที่สุด ก็มีหลักสูตร COMMERCE แบบต่างประเทศที่สอนด้วยภาษาอังกฤษล้วน
และมีเมื่อขยายการศึกษาออกมาถึงขั้นอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยอัสสัมชัยบริหารธุรกิจ
มีแนวคิดหลักที่จะให้เป็นสถาบันการศึกษาการบริหารธุรกิจที่ผลิตบุคลากรออกมาในลักษณะ
INTELLESTUAL ก็สอนเป็นภาษาอังกฤษล้วนเช่นกัน
ครั้งถึงวันนี้ก็มีคำถามว่า จุดแตกต่างเรื่องภาษาอังกฤษของสถาบันการศึกษาเครืออัสสัมชัญนั้น
จะต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในระดับเดียวกันได้นานสักเพียงไร
โรงเรียนอัสสัมชัญขณะนี้ต้องใช้หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ชั่วโมงภาษาอังกฤษจำกัดให้ลดน้อยลง
แม้โรงเรียนจะหาทางออก โดยการเสริมชั่วโมงภาษาอังกฤษเข้าในบางวิชาที่เห็นว่าลดชั่วโมงเรียนลงได้
และสามารถเรียนได้ตามที่กระทรวงฯ กำหนดก็ตาม
"เดี๋ยวนี้เด็กมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจมาก มีโทรทัศน์ การ์ตูน และโรงเรียนจะลงโทษเด็กรุนแรงเหมือนสมัยก่อนก็ไม่ได้"
มาสเตอร์โรงเรียนอัสสัมชัญคนหนึ่งออกความเห็นว่า ภาพนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญเก่งภาษาอังกฤษนับวันจะเลือนลางลง
เพราะปัจจัยภายนอกที่โรงเรียนควบคุมไม่ได้
สำหรับโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์เมื่อแรกใช้หลักสูตร COMMERCE แบบต่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษล้วน
เพราะมุ่งให้นักเรียนที่เรียนจบสามาถทำงานได้ทันที แต่ในปัจจุบันนักเรียนมีความต้องการศึกษาต่อมากขึ้นถึง
80% โรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์จึงต้องยอมปรับตัวรับหลักสูตร ปวช.ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
เพื่อแลกกับประกาศนียบัตร ม.6 และเพื่อนักเรียนจะได้เรียนต่อได้โดยไม่ต้องไปสอลเทียบอีก
รวมทั้งสิทธิที่นักเรียนชายจะได้เรียนรักษาดินแดน
"เราคิดว่าหลักศูตรใกม่ COMMERCE ผสม ปวช.กับหลักสูตรเก่านั้นไม่แตกต่างกันนัก
เพียงแต่หลักสูตรใหม่นักเรียนต้องทำงานหนักขึ้น คือต้องเรียนวิชาที่กระทรวงบังคับและเรียนตำราภาษาอังกฤษด้วย"
หัวหน้าฝ่ายวิชการโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ กล่าวกับ"ผู้จัดการ"
ว่าขณะนี้มี 2 หลักสูตร
1. หลักสูตรเก่า เป็นหลักสูตร COMMERCE แบบต่างประเทศ
2. หลักสูตรใหม่ COMMERCE ผสม ปวช. ซึ่งผู้เรียนจบจะได้ประกาศนียบัตร ม.6
และมี
สิทธิเรียนวิชาทหาร
"เราคิดว่าจะปรับให้หลักสูตรใหม่นี้ให้เป็นระดับปวส. และคิดว่าอีก
2 ปี หลักสูตรเก่าก็จะถูกลืนไปเหลือเพียงหลักสูตรเดียว" หัวหน้าฝ่ายวิชาการกล่าวเสริมกับ
"ผู้จัดการ" ถึงแนวทางการปรับตัว "ไม่ถึงกับสูญเสียหมดไปแต่คงเหลือของเดิมอยุ่บ้าง"
ส่วนมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจนั้น ขณะนี้ดูเหมือนจะมีจุดขายที่ภาษาอังกฤษเด่นชัดกว่าที่อื่น
เพราะในระดับปริญญาตรียังไม่มีสถาบันใดที่สอนบริหารธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษตลอดหลักสูตร
และทางนักศึกษาก็ให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการให้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี
ในกลุ่มนักศึกษาถึงกับมีหน่วยสอดแนมจับตาอาจารย์สอน ถ้าอาจารย์คนใดเผลอสอนเป็นภาษาไทยจะถูกเตือนทันที
ที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจภาษาอังกฤษยังเป็นจุดขายเด่นชัด และนักศึกษาให้ความร่วมมือและปกป้องผลประโยชน์ในเรื่องภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีนั้น
อาจเป็นเพราะค่าเล่าเรียนหน่วยกิตละ 275 บาทก็เป็นได้!