แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปั่นธุรกิจด้วยการขาย ไลเซ่นส์แบรนด์ แมนเชสเตอร์
ยูไนเต็ด ให้แก่พันธมิตร พร้อมขยายธุรกิจเข้าไทย เพราะเล็งเห็น ศักยภาพ คาดไทยจะกลายเป็นแหล่งทำเงินอันดับหนึ่งในเอเชีย
เพื่อต้องการนำเงินมาใช้ในการซื้อ ตัวนักเตาะดังมาเข้าทีม ชี้แต่ละปีใช้เงินไม่ต่ำกว่า
3,100 ล้านบาท กับ การซื้อตัวนักเตะ ในขณะที่รายได้ จากสปอนเซอร์และการไลเซ่นส์ผลิตสินค้าสามารถทำเงินได้ปีละกว่า
8,060 ล้านบาท
นายเดวิด กิลล์ กรรมการผู้จัดการกลุ่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประเทศอังกฤษ
เปิดเผยว่า ปัจจุบัน แบรนด์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแบรนด์ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีใน
ฐานะทีมฟุตบอลที่มีชื่อเสียง และมีนักเตะยอดเยี่ยม จนปัจจุบันนักฟุตบอลของแมนฯยู.
มิใช่เป็นเพียง แค่นักกีฬาอีกต่อไป แต่ยังกลายเป็นดาราที่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก
และกลายเป็นสัญลักษณ์ส่วนหนึ่งของวงการแฟชั่น
ความสำเร็จของแมนฯยู. เกิด จากการที่ทีมผู้เล่นเป็นนักเตะดารา ดัง ซึ่งแต่ละปีต้องใช้เงินจำนวนมาก
ในการซื้อตัวนักเตะดังมาร่วมทีม เช่นปีที่ผ่านมาใช้เงินไปถึง 3,100 ล้านบาท
และเฉพาะช่วงฤดูร้อนของ ปีนี้ ก็ใช่เงินไปแล้ว 1,860 ล้านบาท กับการซื้อตัวนักเตะมาร่วมทีม
2 คน หนึ่งในนั้นก็คือ ลีโอ เฟอร์ดินัลด์
ดังนั้นทำให้บริษัทต้องหาเงินเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายด้วยการหา สปอนเซอร์มาสนับสนุน
และการทำ ธุรกิจเพื่อสร้างกำไร โดยที่ผ่านมา แมนฯยู.ได้ผลิตสินค้าภายใต้ตรา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดออกจำหน่าย โดยปีก่อนมีรายได้จากการขายสินค้าประมาณ
1,240 ล้านบาท จาก รายได้รวม 8,060 ล้านบาท ที่มาจากทางอื่น เช่น สปอนเซอร์
ส่วนในปีนี้ ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ ด้วยการขายไลเซ่นส์ให้แก่ไนกี้
ในการผลิตเสื้อทีมแมนฯยู. ออกจำหน่าย และขายไลเซ่นส์ให้แก่ กลุ่ม เอฟ เจ
เบนจามิน จากสิงคโปร์ และล่าสุด คือการขายไลเซ่นส์ให้แก่ บริษัท เซ็นทรัล
มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด เพื่อจำหน่ายสินค้าตรา แมน เชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในประเทศไทย
ทั้งนี้ นาย แนช์ เบนจามิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ปัจจุบัน สินค้าของ แมนฯยู.ที่จำหน่ายในเอเชียแปซิฟิก
มีอยู่ 3 ประเทศ คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และไทยถือเป็นประเทศที่
4 ซึ่งคาดว่าในปีหน้าไทยจะกลาย เป็นประเทศที่มีศักยภาพและสร้างรายได้ให้แก่แมนฯยู.ได้เป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้
โดยปัจจุบันรายได้จากการขายสินค้าของแมนฯยู. มีประมาณ 1,240 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขายสินค้าในเอเชียแปซิฟิก
1-2 ล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าตลาดยังมีศักยภาพที่จะขยายตัวได้อีกมาก
สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้นนาย ชาติ จิราธิวัฒน์ (บุตรชายสิทธิชาติ
จิราธิวัฒน์) ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดกรผลิตภัณฑ์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
กล่าวว่า สินค้าที่จำหน่าย ในไทยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ เสื้อผ้าชาย ภายใต้แบรนด์
MUFC และเสื้อผ้าเด็ก ภายใต้แบรนด์ แมนฯยู.คิดส์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด เช่น
ผลิตภัณฑ์เครื่องเขียน สินค้าที่ระลึก โดยร้านค้า ที่จำหน่ายนั้นมี 3 รูปแบบ
คือ แบบคอร์เนอร์ในห้างสรรพสินค้า ร้านแบบสแตนอโลน ซึ่งจะเป็นร้าน MUFC และร้านแมนฯยู.
คิดส์ และร้านแมนฯยู. เมกกะสโตร์ ที่จำหน่ายสินค้าทุกอย่างของแมนฯยู.
การที่แมนฯยู.หันมาทำสินค้าเด็กด้วยนั้น เพราะต้องการสร้างฐานของแฟนแมนฯยู.ให้มีการรับร
ู้และชื่นชอบแมนฯยู.ตั้งแต่เด็กไปจนถึงระดับครอบครัว ทำให้แมนฯยู. มีสินค้าที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม
นอกจากนี้ทางกลุ่มเซ็นทรัลยังอยู่ระหว่างการเจรจากับทางแมนฯยู.เพื่อจะขอ
รับสิทธิ์ในการบริหารร้านกาแฟ เรด คาเฟ่ ซึ่งเป็นร้านกาแฟของแมนฯยู.ในประเทศไทยด้วย