ธุรกิจน้ำมันรวยเละ 2 หมื่นล.


ผู้จัดการรายวัน(16 สิงหาคม 2548)



กลับสู่หน้าหลัก

บริษัทน้ำมันกลุ่ม ปตท. รวยอื้อ ฟันกำไรไตรมาส 2 รวมกัน 23,000 ล้านบาท เฉพาะปตท. กำไร 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% มาจากธุรกิจน้ำมัน 65% ก๊าซธรรมชาติ 22% ส่งผลครึ่งปีแรกกำไรแล้ว 4.4 หมื่นล้านบาท "ประเสริฐ บุญสัมพันธ์" คาด ถ้าราคาน้ำมันยังสูง สิ้นปีนี้ ยอดขายถึง 8 แสนล้านบาทแน่ ไทยออยล์กำไรสุทธิ 3.5 พันล้าน คาดสิ้นปีรายได้ 2 แสนล้าน ส่วนบางจากมาแรงกำไร 1,300 ล้านบาท เพิ่ม 103% เผยกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 967 ล้านบาท ขณะที่ราคาขายปลีกเบนซิน-ดีเซลอาจปรับขึ้นอีกลิตรละ 40 สตางค์

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2548 ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2.26 แสนล้าน บาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 1.50 แสนล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจน้ำมัน 66% ก๊าซธรรมชาติ 22% และปิโตรเคมี โรงกลั่น 12% โดยกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2548 อยู่ที่ 1.83 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มปตท.เอง 44% ได้แก่ ธุรกิจน้ำมัน 4% และก๊าซธรรมชาติ 40% ที่เหลือมาจากปตท.สผ. 19% โรงกลั่นน้ำมันระยอง 14% และบริษัทในเครือที่ปตท.เข้าไปถือหุ้น 23% และหาก คิดกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่า ตัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน (EBITDA ) จะอยู่ที่ 2.83 หมื่นล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้บริษัทฯมีรายได้และกำไรเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากปริมาณการจำหน่ายก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น จากการเดินเครื่องโรงแยกก๊าซฯหน่วยที่ 5 ตั้งแต่พ.ค.ที่ผ่านมา และมีรายได้เพิ่มจาก ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันระยองที่ปตท.ถือหุ้นอยู่ 100%

ขณะที่ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 48) ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้ 4.17 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 45% มาจากกลุ่ม ธุรกิจน้ำมัน 65% ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ 22% และธุรกิจ ปิโตรเคมี การกลั่น 13% โดยมีEBITDA 5.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% และกำไรสุทธิ (รวมรายการพิเศษจากการปรับหนี้โรงกลั่นRRC) 4.43 หมื่นล้าน บาท เพิ่มขึ้น 68% จากปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่กำไรมาจากบริษัทในเครือปตท.22 % ปตท.เอง 37% ปตท.สผ. 14% RRC (รวมปรับหนี้) 27%

นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มน้ำมันในไตรมาส 2/2548 ราคาน้ำมันได้ปรับเพิ่มขึ้น 30-50%เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปริมาณการใช้ยังเพิ่มขึ้น ทำให้ปตท. สามารถเพิ่มปริมาณการขายน้ำมันทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น 31% เทียบกับปีก่อน โดย ปตท. มีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 32% (ไม่รวมน้ำมันเตาที่ขายให้กฟผ.) ซึ่งเทรดดิ้งน้ำมันเป็นตัวสร้างกำไรให้กับกลุ่มธุรกิจน้ำมัน โดยไตรมาส 2 นี้มีการนำเข้า-ส่งออกเพิ่มขึ้น 22% ส่วนค้าปลีกน้ำมันในประเทศแทบไม่มีกำไร

"ไตรมาส 2 มีการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้น 16% ส่วนครึ่งปีแรกนี้ มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 10% จากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ยอดการใช้น้ำมันในประเทศเริ่มติดลบ คาดว่าทั้งปีการใช้น้ำมันในประเทศจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเติบโต 4-5% หรืออาจจะไม่โตเลย"

ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯมีรายได้และกำไรเติบโตดีขึ้น เชื่อว่าสิ้นปีนี้ หากราคาน้ำมันยังอยู่ในอัตราที่สูงเช่นนี้ ปตท.จะมีรายได้ 8 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน เพราะราคาน้ำมันไตรมาส 4/48 ไม่น่าจะลงมามาก ซึ่งเมื่อปตท.มีรายได้เยอะ กำไรก็ต้องเยอะเป็นเรื่องปกติ

นอกจากนี้ ปตท.จะปรับตัวเลขประมาณการเงินลงทุน 5 ปีใหม่ (2548-52) จากเดิม 2.12 แสนล้านบาท โดยในไตรมาส 3 จะทราบตัวเลขการลงทุน เพิ่มเติมในปีนี้ของปตท.อีก 2.4-3 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่ระบุไว้ 2.63 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนเข้า ไปถือหุ้นในบมจ.อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (TPI) จำนวน 30% ใช้เงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท และการ เข้าไปถือหุ้นในบมจ. บางจากปิโตรเลียม (BCP) เพิ่มขึ้นจากเดิม 8% เป็น 30% ใช้เงินประมาณ 4 พันล้าน บาท เพื่อให้บางจากฯสามารถขยายการลงทุนสร้างหน่วยแครกน้ำมันเตาเป็นน้ำมันใสได้ คาดว่าทุกอย่าง จะแล้วเสร็จก.ย.นี้ แม้ว่าปตท.จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นแต่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งอยู่ โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.5 เท่า ทำให้ปตท.มีศักยภาพเพียงพอที่จะขยายการลงทุนได้อีก

นายประเสริฐ กล่าวถึงความคืบหน้าในการควบ รวมโรงกลั่นน้ำมันระยอง (RRC) กับโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม รีไฟนิ่ง (SPRC)ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการ เจรจาอยู่มีความคืบหน้าบางส่วน และบางอย่างติดข้อ กฎหมาย รวมทั้งแนวคิดการทำงานต่างกัน ซึ่งหากไม่สามารถหาข้อสรุปได้ภายใน 1 เดือนข้างหน้านี้ ก็คงต้องยุติการควบรวมกิจการ โดยปตท.ก็จะเดินหน้าที่จะนำRRC เข้าตลาดหุ้นต่อไป เพราะเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดมาให้ตั้งแต่ได้ใบอนุญาตสร้างโรงกลั่นน้ำมันทั้ง 2 โรงแล้ว

"เราเห็นว่าถ้าควบรวม 2 โรงกลั่นเข้าด้วยกันแล้วนำเข้าตลาดหุ้นก็จะดี ซึ่งการเจรจาดังกล่าวต้องอยู่บนพื้นฐานการเจรจาที่ไม่เอาเปรียบกัน ถ้าไม่รวม กันแล้ว จะร่วมมือทำเป็นแบบอัลลายแอนซ์เหมือนเดิมก็ได้ ซึ่งในหลักการอยากให้เข้าตลาดหุ้นภายในสิ้นปีนี้ โดยภายใน 1 เดือนนี้จะรู้ว่าจะรวมหรือแยก ดังนั้นถ้าวันหนึ่งปตท.ประกาศแยกไม่ควบรวมระหว่าง RRC กับ SPRC ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ทั้งนี้คงต้องเข้ามาดูว่าเชฟรอนฯมีเจตนาที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหรือไม่" จ่อคิวขยับขายปลีก 40 สต./ลิตร

นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลและเบนซินขึ้นมาอยู่ที่ 73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบดูไบ 57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมาก ทำให้ปตท. ไม่สามารถจะยืนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จได้ เพราะราคาปรับขึ้นไม่ทันต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งค่าการตลาด น้ำมันเบนซินขณะนี้ติดลบแล้ว ส่วนน้ำมันดีเซลถึงค่าการตลาดจะไม่ติดลบ แต่ก็ขายในราคาที่ขาดทุน เพราะผู้ค้าน้ำมันต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นอีก

อย่างไรก็ตาม ปตท.ไม่ต้องการที่จะปรับขึ้นราคาน้ำมันถี่ ดังนั้นจะพิจารณาจากราคาน้ำมันที่ตลาด สิงคโปร์อีก 1-2 วันก่อน หากจะปรับขึ้นราคาน้ำมันก็จะขึ้นไปทั้งเบนซินและดีเซล โดยจะขยับขึ้นไม่มากประมาณ 40 สตางค์/ลิตร

ไทยออยล์คาดสิ้นปีรายได้ 2 แสนล้าน

นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการอำนวยการ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) กล่าวถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2548 ว่า บริษัทฯและบริษัทในเครือมีรายได้จากการขาย 6.33 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 3.51 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 34 % สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯมีรายได้1.11 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% และกำไรสุทธิ 7.22 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%

ทั้งนี้เนื่องจาก กลุ่มบริษัทย่อยมีผลประกอบการที่ดีขึ้นและกำลังการกลั่นของหน่วย CDU-3 ที่เพิ่มขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อน ทำให้เดินเครื่องได้เพิ่มเป็น 109% หรือประมาณ 2.4 แสนบาร์เรล/วัน รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 6.55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงขึ้น 0.30 เหรียญต่อบาร์เรลจากไตรมาส 2/2547

ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันในครึ่งปีหลัง คาดว่าราคาจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามวัฏจักรราคาที่ไตรมาส 4 จะสูงขึ้น และการใช้ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจการ กลั่นเกิดภาวะตึงตัว โดยโรงกลั่นในไทยได้เดินเครื่อง ผลิตร้อยละกว่า 90 หากไม่มีการขยายกำลังการผลิต เพิ่มเติมเชื่อว่า ภายใน 3-4 ปีจากนี้ไป ไทยจะประสบ ปัญหาขาดแคลนน้ำมันสำเร็จรูป ขณะที่แก๊สโซฮอล์ ก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เนื่องจากแก๊สโซฮอล์เป็นการนำน้ำมันเบนซิน 95 ผสมกับเอทานอล 10% ซึ่งเป็นตัวแทนการนำเข้าเอ็มทีบีอี ทำให้ภาพรวมโรงกลั่นยังดีอยู่ ดังนั้นบริษัทฯคาดว่าทั้งปี ไทยออยล์จะมีรายได้รวมประมาณ 2 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน

ในไตรมาส 2 ไทยออยล์มีทั้งกำไรและขาด ทุนจากการสต๊อกน้ำมันดิบและสำเร็จรูปที่มีอยู่ 5 ล้านบาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันผันผวน ดังนั้นจึงกล่าว ได้ว่าไตรมาส 2 นี้แทบไม่มีกำไรจากการสต๊อกน้ำมัน และเราก็ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อเก็งกำไรŽ สำหรับการลงทุนตั้งโรงกลั่นน้ำมันใหม่นั้น นายปิติ กล่าวว่า มีโอกาสน้อย เพราะการลงทุนตั้งโรง กลั่นน้ำมันใหม่ ต้องใช้เงินสูงมากถึงแสนล้านบาทต่อกำลังการผลิต 1.5 แสนบาร์เรล/วัน และต้องมีค่า การกลั่นสูงถึง 6.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นเวลา 20 ปี ซึ่งเป็นไปได้ยาก ขณะที่การลงทุนอย่างอื่นให้ ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า ดังนั้น โอกาสที่จะเห็นการสร้างโรงกลั่นใหม่จึงเป็นไปได้ยาก

"เราไม่พร้อมที่จะลงทุนสร้างโรงกลั่นใหม่ เพราะไม่พร้อมเรื่องผลตอบแทนการลงทุน ทำให้ไม่รู้ว่าจะต้องชี้แจงผู้ถือหุ้นอย่างไร หากมองว่าธุรกิจ การกลั่นได้กำไรดี ก็น่าจะมีนักลงทุนแห่เข้ามาสร้างโรงกลั่นกันแล้ว ดังนั้นบริษัทฯจึงกังวลว่าถ้าไม่มีการ ลงทุนเพิ่มเติมในอีก 3-4 ปีข้างหน้าไทยจะขาดแคลน น้ำมันสำเร็จรูป และถ้าจะลงทุนสร้างใหม่ก็ต้องใช้เวลา 4-5 ปีในการดำเนินการ สุดท้ายก็ต้องเผชิญปัญหาดังกล่าวอย่างแน่นอน" บางจากกำไรเพิ่มกว่า 100%

นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (BCP) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ว่า บริษัทฯมีรายได้รวม 22,096 ล้านบาท กำไรก่อนหัก ดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา 1,647 ล้านบาท ดอกเบี้ย จ่ายสุทธิ 157 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 194 ล้านบาท ส่งผลบริษัทกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท เพิ่ม 103% เทียบช่วงเดียวกันปี 2547 ที่มีกำไรสุทธิ 647 ล้านบาท

ผลประกอบการดังกล่าว ประกอบด้วย บริษัทมีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) 3.28 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ที่อยู่ที่ 1.83 ดอลลาร์ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบ และน้ำมันสำเร็จรูป สูงขึ้นต่อเนื่อง ตามสภาวะเศรษฐกิจ ภูมิภาคที่ฟื้นและความต้องการใช้น้ำมันเป็นวัตถุดิบภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่สูงขึ้นมาก

นายอนุสรณ์เปิดเผยว่า บริษัทยังมีกำไรจาก สต๊อกน้ำมัน 967 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ที่อยู่ที่ 553 ล้านบาท จากการที่ราคาน้ำมันตลาดโลกสูงขึ้นต่อเนื่อง ไตรมาส 2 บริษัทมีค่าการกลั่นรวม 6.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใช้กำลังผลิตอยู่ 65 พันบาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน ที่อยู่ที่ 85 พันบาร์เรล เพื่อรักษาค่าการกลั่น และลดความเสี่ยง จากขาดทุนสต๊อกน้ำมัน กรณีราคาน้ำมันลดลง การดำเนินการดังกล่าว ส่งผลธุรกิจโรงกลั่นกำไรมากกว่า เป้าหมาย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.