ผู้นำ 2 เกาหลี ร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่!

โดย รุ่งมณี เมฆโสภณ
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

ประวัติศาสตร์หน้าใหม่กำลังจะเกิดขึ้น ที่คาบสมุทรเกาหลี การที่เกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ประกาศจะประชุมสุดยอดร่วมกัน ระหว่างวันที่ 12 ถึง 14 มิถุนายน ศกนี้ ได้กลายเป็นความหวังใหม่แก่ทั้งชาวเกาหลี และประชาคมโลกว่า สงครามเย็นในคาบสมุทรเกาหลีน่าจะถึงกาลสิ้นสุด และอาจจะทำให้ 2 เกาหลี ที่แยกจากกันนานถึงกว่าครึ่งศตวรรษได้กลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง

คำประกาศดังกล่าวมีขึ้นในช่วงเช้าของวันจันทร์ ที่ 10 เมษายน

เกือบจะทันที ที่คำประกาศดังกล่าวสิ้นสุดลง เสียงขานรับด้วยความยินดี ก็ก้องมาจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา ที่ใกล้ชิดกับเกาหลีใต้ รวมทั้งจากญี่ปุ่น และจีน สำหรับจีนนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสัมพันธ์ ที่ลึกซึ้งอยู่กับเกาหลีเหนือ และก่อนหน้าที่จะมีคำประกาศนี้ออกมาก็มีบทบาทสำคัญในฐานะ "กาวใจ" โดย ได้มีการหารือ "ลับ" ในเรื่องนี้หลายครั้ง ที่ กรุงปักกิ่ง

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ในการเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอด ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ สถานที่ในการหารือ ก็จะเป็นที่กรุงปักกิ่งอีกเช่นกัน

คำประกาศนี้ นับเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งคาบสมุทรเกาห ลี

การอสัญกรรมอย่างกะทันหันของประธานาธิดีคิม อิล ซุง (Kim Il Sung) แห่งเกาหลีเหนือ เมื่อปี ค.ศ. 1994 ได้ส่งผลให้การเจรจาครั้งแรกระหว่าง เกาหลีเหนือ และใต้ ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านั้น ต้องหยุดชะงัก และจากการที่ เกาหลีเหนือปิดประเทศไว้ทุกข์นานถึง 3 ปี ก่อนการขึ้นสู่อำนาจอย่างสมบูรณ์ของประธานาธิบดีคิม จอง อิล (Kim Jong Il) ซึ่งเป็นบุตรชายคนโต ทำให้ประชาคมโลกคาดเดาท่าทีของเกาหลีเหนือไปต่างๆ นานา การตกลงรับการเจรจาครั้งนี้จึงนับเป็นการสะท้อนให้โลก เห็นสัญญาณของแนวทางปฏิรูป ที่ชัดเจนที่สุดของเปียงยางภายใต้การนำของประธานาธิบดีคิม จองอิล

ปีนี้ เกาหลีเหนือเปิดประตูให้กับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกมากขึ้น และเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เริ่มการเจรจาขั้นปกติกับญี่ปุ่น ส่วนสหรัฐฯ ว่ากันว่า เกาหลีเหนือใช้ท่าที "ทั้งขู่ทั้งปลอบ" แต่ปัญหาหรืออุปสรรค ที่แท้จริงในการเปิดประตูสู่โลกกว้างของเกาหลีเหนือนั้น อยู่ ที่ความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้นั่นเอง

ตลอดระยะเวลา 2 ปี ในตำแหน่งผู้นำเกาหลีใต้ของประธานา ธิบดี คิม แด จุง (Kim Dae Jung) เป็นที่ทราบกันดีว่า เขาได้พยายามดำเนินนโยบายผ่อนปรนเข้าหาเกาหลี เหนือตลอดเวลา แต่สิ่งที่เกาหลีเหนือตอบสนองก็คือ การกล่าวหาว่าเกาหลีใต้ทำตัวเป็นหุ่นเชิดให้กับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการที่ยังยอมให้ทหารอเมริกัน ประจำการอยู่ในเกาหลีใต้ถึง 37,000 คน หลายต่อหลายเรื่อง ที่เกิดขึ้นระหว่าง 2 เกาหลี ในรอบปีที่ผ่านมา ดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดบ่งชี้ว่า เกาหลีเหนือพร้อม ที่จะมีความสัมพันธ์เชิงสร้างสรรค์ กับประธานาธิบดีคิม แด จุง

แต่แล้วก็มีแสงสว่าง ที่ปลายอุโมงค์

ในระหว่างการเยือนกรุงเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ประธานา ธิบดี คิม แด จุงได้ประกาศว่า เกาหลีใต้พร้อม ที่จะให้การสนับสนุนปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และระบบเกษตรกรรม ที่ทรุดโทรมของเกาหลีเหนือบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนประโยชน์กัน ปรากฏว่าทางเกาหลีเหนือสนใจ และทั้งสองฝ่ายก็ได้พบกัน ที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีนเมื่อวันที่ 17 มีนาคม และหลังจากนั้น ก็ตามมาด้วยการพบกันอีกหลายครั้ง ที่กรุงปักกิ่ง จนกร ะทั่งนำมา ซึ่ง การประกาศการประชุมสุดยอดของ 2 เกาหลีในเดือนมิถุนายนดังกล่าว

มิพักต้องตรวจสอบให้เปลืองเวลาว่าใครเป็นคนเริ่มเสนอ ใครเป็นคนเชื้อเชิญให้มีการพบปะกัน แต่ผลลัพธ์ก็คือ ผู้นำของสองประเทศ จะพบกันเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งประวัติศาสตร์

แต่ก็ใช่ว่าความสำเร็จจะมาเยือนเพียงชั่วข้ามคืน

ยังมีรายละเอียดอีกมากมายให้ทั้งสองฝ่ายต้องจัดการ ตั้งแต่ในขั้นตอนของการเตรียมการจนถึงเนื้อหาบนโต๊ะเจรจา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องล่อใจ ที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้เกาหลีเหนือสนใจ ที่จะเจรจากับเกาหลีใต้ โดยเฉพาะ จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำอย่างยิ่งของเกาหลีเหนือ ซึ่งต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศมาตลอดนับตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เป็นต้นมา เพื่อ ที่จะดูแลปากท้องของประชาชนกว่า 22 ล้านคน และจากตัวเลขของทางการเองระบุว่ามีผู้ที่เสียชีวิ ตอันเนื่องมาจากความอดอยากหิวโหยในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้สูงถึงกว่า 2 แสนคน ขณะที่ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตสูงนับล้านคน


ทางการเกาหลีใต้ชี้ว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะสามารถกระตุ้นการลงทุนในเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ได้หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ในการที่จะสร้างถนน ทางรถไฟ โรงไฟฟ้า และสาธารณูปโภคอื่นๆ ในเกาหลีเหนือ รวมทั้งการที่เกาหลีใต้จะช่วยเหลือเกาหลีเหนือเกี่ยวกับการขนส่งเชื้อเพลิง และปุ๋ยอีกด้วย

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงการคาดหวัง...ในเชิงบวก

ขณะที่ผู้ที่คาดหวังในเชิงลบก็มองว่า เป็นเรื่อง ที่ไม่ง่ายเลย ที่ 2 เกาหลี ซึ่งมีระบบทางการเมือง และเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจะกลับมารวมกัน... นับเป็นการยาก ที่จะจินตนาการว่าจะออกมาในรูปใด

สิ่งที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศหรือผู้เชี่ยวชาญกิจการ เกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลีคาดหวังสูงสุด ดูเหมือนจะอยู่เพียงว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้จะทำให้ทั้งเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้สามารถ ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

เมื่อนั้น สันติภาพ ที่แท้จริงก็จะบังเกิดบนคาบสมุทรเกาหลี

*******

ประธ านาธิบดีคิม แด จุง

เกิดเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1925 ปัจจุบันย่าง 75 ปี พื้นเพเป็นคนจังหวัด Cholla ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลีใต้ ซึ่งคนจากพื้นที่นี้มักจะถูกตั้งข้อรังเกียจว่า ยากจน บ้านนอก และหัวดื้อ...

คิม แด จุง รู้จุดอ่อนนี้ดี และค่อยๆ สั่งสมบารมีทางการเมืองด้วยความอดทน

เขาจบทางด้านเศรษฐศาสตร์ระดับปริญญาโทจาก Kyunghee University ในกรุงโซล ในปี 1970 ต่อมา ระหว่างปี 1983-1984 เป็น visiting fellow ที่ Center for International Affairs ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ และในเดือนกันยายน 1992 คิม แด จุง ได้ปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์จาก Diplomatic Academy of the Foreign Ministry of Russia ใน กรุงมอสโก โดยทำวิทยานิพนธ์เรื่อง The Drama and Hopes for Korea"s Democracy: On the Growth and the Theory of Formation and Development of Democracy in Korean Socie ty, 1945-1991

และระหว่างเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 1993 เขาได้เป็น visiting fellow ของ Clare Hall College มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร

คิม แด จุง เริ่มเข้าสู่การเมืองในปี 1954 โดยก่อนหน้านั้น เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่ม ซึ่งประสบความสำเร็จในธุรกิจชิปปิ้ง ส่วนบนถนนการเมืองกว่า 40 ปี เขาได้ชื่อว่าเป็นนักสู้ เพื่อประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้นำสหภาพแรงงาน และนักศึกษา เคยติดคุกในฐานะนักโทษการเมือง และเคยลี้ภัยไปยังต่างประเทศชั่วระยะหนึ่ง ทำให้เขามี เพื่อนฝูงในทางสากลจำนวนมาก

คิม แด จุง หรือ ที่ชาวเกาหลีใต้ ส่วนหนึ่งเรียกเขาย่อๆ ว่า "ดี.เจ." ก้าวขึ้น เป็นผู้นำในช่วง ที่ประเทศเผชิญวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันเกาหลีใต้ได้กลับมาเป็น "หวานใจ" ของนักลงทุนอีกครั้งในเวลา ที่รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจเช่นนี้ ทำให้อดีตนักต่อต้านเผด็จการตัวยงผู้นี้ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ

ภรรยาของผู้นำเกาหลีใต้คนปัจจุบันคือ ลี ฮี โฮ (Lee Hee Ho) มีบุตร รวม 3 คน โดย 2 คนโตเกิดจากภรรยาคนแรก ที่ถึงแก่มรณกรรม

กล่าวกันว่าสิ่งที่คิม แด จุง วิตกมากที่สุดทุกวันนี้คือ "กลัวแก่" เขาจะต้องนวดหน้าสม่ำเสมอ และมักจะแต่งหน้าเต็มที่ เพื่อให้ดูเด็กเวลา ที่ต้องปรากฏตัวทางโทรทัศน์

คิม แ ด จุง เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมา แล้วถึง 9 ครั้งด้วยกัน

ในการเจรจาสุดยอดกับเกาหลี เหนือในเดือนมิถุนายนนี้ อาจจะนำมา ซึ่งการเสนอชื่อเขาเป็นครั้ง ที่ 10 ก็ เป็นได้

******

ประธานาธิบดีคิม จอง อิล

เส้นทางชีวิตของผู้นำเกาหลีเหนือนั้น ต่างจากผู้นำเกาหลีใต้เกือบจะสิ้นเชิง

เรียกว่าตั้งแต่จำความได้ คิม จอง อิล คือ ลูกชายคนโตของวีรบุรุษสงคราม ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้นำเกาหลีเหนือ

คิม จอง อิล เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1942 ในครอบครัวนักปฏิวัติ เขาเพิ่งจะเต็ม 58 ปีไปเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ข้อมูลบางแหล่งระบุว่า เขาเกิดในค่ายทหารโซเวียตในไซบีเรีย ขณะที่คิม อิล ซุง บิดาของเขาประจำการ อยู่กับกองทัพแดงโซเวียตระหว่างสงครามโลกครั้ง ที่สอง แต่อีกบางกระแสบอกว่า เขาเกิดในฐาน ที่มั่นลึกลับบนยอดเขา ที่สูงที่สุดในเกาหลี

อย่างไรก็ตาม ในปี 1948 หลัง จาก ที่เกาหลีแยกออกเป็นเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ คิม อิล ซุง ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีเกาหลีเหนือก่อน ที่จะขึ้นเป็นผู้นำพรรคแรงงาน และระหว่างสงครามเกาหลี ประธานาธิบดีคิมผู้พ่อได้ ส่งคิม จอง อิ ลไปอยู่ทางภาคอีสานของจีน เพื่อความปลอดภัย ซึ่งต่อมาเขาได้เข้าศึกษา ที่มหาวิทยาลัยคิม อิล ซุง จบได้ปริญญาทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเมือง ก่อน ที่จะเริ่มงานกับพรรคแรงงาน

ในปี 1973 คิม อิล ซุงได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรครับผิดชอบทางด้านการจัดตั้ง และโฆษณา รวมทั้งได้รับเลือกให้เป็นกรมการเมืองของพรรค และเป็นกรรมการประจำคณะกรรมการกลางของพรรคในปี 1980 ต่อมาในปี 1990 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รองประธานคนที่ 1 ของคณะกรรมาธิการกลาโหม หลังจากนั้น เพียงปีเดียวเขาก็ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพประชาชนเกาหลี อันเป็นตำแหน่ง ที่บิดาของเขาเป็นมาตั้งแต่ปี 1948 พอถึงปี 1992 เขาก็ได้ ครองยศจอมพล ขณะที่คิม อิล ซุง ผู้บิดาขึ้นไปครองยศเป็นจอมพลใหญ่

หลังการอสัญกรรมของคิม อิล ซุง ในวันที่ 8 กรกฎาคม 1994 คิม จอง อิล ก็ขึ้นสู่อำนาจ แม้ในระหว่าง 3 ปีของการไว้ทุกข์จะไม่มีการแต่งตั้ง เขาขึ้นมาเป็น "ท่านผู้นำ" อย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นอันรู้กันว่า คิม จอง อิลคือ ผู้นำเกาหลีเหนือตัวจริง และในเดือนตุลาคม 1997 เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการพรรคแรงงาน ขึ้นเป็นผู้นำประเทศอย่างเป็นทางการ

นับตั้งแต่การจากไปของคิม อิล ซุง... คิม จอง อิล ยังไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศแม้แต่ครั้งเดียว

ในการประชุมสุดยอดระหว่าง 2 เกาหลีในเดือนมิถุนายน เขาก็เชิญให้ผู้นำเกาหลีใต้ไปประชุม ที่กรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ

******

ผู้นำเกาหลีทั้งสองนี้ คือ ผู้ที่จะร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับ คาบสมุทรเกาหลีในปี 2000



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.